รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขนัดแรกรับปีงบประมาณใหม่ มอบรางวัลเขตสุขภาพร่วมโครงการก้าวท้าใจ Season 2 และใบประกาศเกียรติคุณโครงการเทคนิคการแพทย์อาสาค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุก ห่วงพื้นที่ชายแดนให้เข้มเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมือง ย้ำรัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาและจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้คนไทยเข้าถึง เดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาได้ที่หน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่

          วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี  แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2564 ว่า ในที่ประชุมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่เขตสุขภาพที่ร่วมขับเคลื่อนโครงการก้าวท้าใจ Season 2 ต้านภัยโควิด 19 โดยเขตสุขภาพที่ 10 มีผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุด จำนวน 108,041 คน และมอบใบประกาศเกียรติคุณโครงการเทคนิคการแพทย์อาสาค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุก จำนวน 93 คน พร้อมกันนี้ยังได้แสดงความยินดีกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีและผู้บริหารที่ได้รับตำแหน่งใหม่ โดยย้ำถึงภารกิจสำคัญ คือ การพัฒนาการดำเนินงานด้านสาธารณสุข เพื่อสนองพระราชดำริ และโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งให้จัดเตรียมแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2564

          สำหรับการดำเนินงานโรคโควิด 19 นายอนุทินมีความห่วงใยพื้นที่ชายแดน ได้ขอให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขกำกับดูแลเรื่องการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงการเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ประชาชน โดยยืนยันว่า รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาและจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ส่วนการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ได้มอบหมายกรมการแพทย์เป็นแกนหลักดำเนินการจัดตั้งหน่วยบริการ การคัดกรอง จัดหาหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์รองรับสถานการณ์ ลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการใช้งบประมาณปี 2564 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

          แพทย์หญิงพรรณประภากล่าวต่อว่า สำหรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้เห็นชอบข้อเสนอยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพ 4 เรื่อง คือ ให้ประชาชนที่เจ็บป่วยเข้ารับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ที่อยู่ในระบบบัตรทอง โดยนำร่องในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตสุขภาพที่มีศักยภาพ ผู้ป่วยในที่ต้องนอนโรงพยาบาลต่อเนื่อง ไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวเมื่อใบส่งตัวครบกำหนด  ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ที่อยู่ในระบบบัตรทองและมีศักยภาพในการรักษา และประชาชนสามารถย้ายสิทธิบัตรทองได้ทันที โดยไม่ต้องรอ 15 วัน ที่จะเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศวันที่ 1 มกราคม 2564 รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ยังเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (5-10ปี) หรือ Excellence Center วงเงินรวม 62,622,817,100 บาท

 ************************************  7 ตุลาคม 2563

 



   
   


View 1678    07/10/2563   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ