นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลการระบาดของเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเป็นการระบาดที่มีรายงานเป็นครั้งแรกในประเทศสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) มีผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว 9 ราย และมีผู้ป่วยยืนยันแล้วถึง 25 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีรายงานการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศสาธารณรัฐคองโกและแองโกลา โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กมีอาการรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงใกล้เคียงกับโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ทำให้ต้องมีการเฝ้าระวังการระบาดครั้งนี้อย่างใกล้ชิด


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข มีการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์การระบาดโรคติดต่อร้ายแรงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาในเดือนตุลาคม 2565 โดยเชื้อไวรัสมาร์บวร์กนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสอีโบลา และมีลักษณะการก่อโรคที่คล้ายกัน ในการดำเนินการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจึงมีความใกล้เคียงกัน โดยจะใช้การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อด้วยเทคนิคทางอณูชีววิทยา ที่มีความไวและความจำเพาะสูง (RT PCR) สามารถทราบผลภายใน 8 ชั่วโมง หลังได้รับตัวอย่าง การดำเนินงานกับตัวอย่างจะใช้ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (Biosafety level 3 (BSL-3) laboratory) ซึ่งมีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานกับเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคที่มีอันตรายสูง มีระบบการไหลเวียนที่ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้ออันตรายแพร่กระจายออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก บุคลากรผ่านการฝึกอบรมความปลอดภัยทางชีวภาพ ให้มีความพร้อมรับสถานการณ์การระบาด และสามารถปฎิบัติงานกับสิ่งส่งตรวจได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ และประชาชนได้เป็นอย่างดีว่าจะไม่มีเชื้อโรคอันตรายเล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เตรียมวิธีการตรวจที่ประกอบด้วยน้ำยาที่จำเพาะที่เป็นมาตรฐานในการวินิจฉัย สำหรับตรวจสารพันธุกรรมไวรัสก่อโรคไข้เลือดออกรุนแรง มาร์บวร์ก รวมทั้ง อีโบลา ไข้ลาสซา ไว้ครบ

 


อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่า ในกรณีที่พบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กในสถานพยาบาล ให้เจ้าหน้าที่ประสานกองระบาดวิทยา สำนักงานป้องกันและควบคุมโรค หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อสอบสวนโรคและวางแผนประสานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการรับตัวอย่างส่งตรวจ ซึ่งใช้เลือด (EDTA Whole Blood) ในการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส และน้ำเหลือง (Serum) กรณีตรวจหาภูมิต่อเชื้อไวรัส โดยรายละเอียดและคำแนะนำวิธีปฏิบัติในจัดการสิ่งส่งตรวจ สามารถศึกษาได้จาก คู่มือการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา และไวรัสทางเดินหายใจตะวันออกกลางทางห้องปฏิบัติการ และคู่มือเครือข่ายห้องปฏิบัติการโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตามลิงค์ด้านล่าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อห้องปฏิบัติการโรงพยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะนำไปใช้อ้างอิงในการปฏิบัติงาน อนึ่งขอประชาชนอย่าวิตกจนเกินไปเพราะการติดต่อไม่ง่ายต้องเป็นการสัมผัสใกล้ชิดอย่างมาก ไม่พบการติดต่อทางฝอยละอองหรือทางอากาศ และผู้มีอาการส่วนใหญ่มักเป็นผู้ป่วยหนัก ไม่สามารถออกมาแพร่เชื้อได้มากนัก

//// 20 กุมภาพันธ์ 2566
 
คู่มือการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา และไวรัสทางเดินหายใจตะวันออกกลางทางห้องปฏิบัติการ (http://nih.dmsc.moph.go.th/login/filedata/media2559_1.pdf


คู่มือเครือข่ายห้องปฏิบัติการโรคติดเชื้ออุบัติใหม่
(http://nih.dmsc.moph.go.th/data/data/covid/EIDLabNetwork.pdf)



   


View 559    20/02/2566   ข่าวในรั้ว สธ.    สำนักสารนิเทศ