กรมควบคุมโรคร่วมมือกับ สภากาชาดไทย และเนคเทค พร้อมภาคีเครือข่ายจังหวัดนำร่องต่อยอดการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีระบบยืนยันตัวบุคคลด้วยการจดจำลายม่านตาและใบหน้า ตั้งเป้าขยายความครอบคลุมในพื้นที่จังหวัดนำร่องเดิม และวางแผนเชื่อมต่อข้อมูลกับบริการการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ติดตามการฉีดวัคซีน และรักษาโรคเรื้อรัง

          เมื่อวันที่ (28 ธันวาคม 2566) ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางสุขภาพดิจิทัล (digital health) นายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นายแพทย์ดิเรก สุดแดน ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้รับผิดชอบงานสุขภาพแรงงานข้ามชาติจาก 5 จังหวัดนำร่อง รวม 80 คน ร่วมหารือถอดบทเรียนสรุปผลการนำเทคโนโลยีการจดจำลายม่านตาและใบหน้า (Iris and Facial Recognition) มาใช้ในการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลเพื่อยืนยันบุคคลประโยชน์ในงานบริการสาธารณสุขและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ

          นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โครงการระบุตัวตนด้วยเทคโนโลยีการจดจำลายม่านตาและใบหน้า (Iris and Facial Recognition) เป็นโครงการสุขภาพแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการสนับสนุน   จากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย โดยมีสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยประสานงานหลักกับสภากาชาดไทย เนคเทค ตลอดจนหน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลที่มีความต้องการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและสะดวกรวดเร็วในการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลเพื่อยืนยันบุคคล โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารประจำตัวต้องประสบกับปัญหาระบุตัวตนเมื่อรับบริการในระยะที่มีการระบาดรุนแรงของโรคโควิด 19 และการคัดกรองโรคและฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้กรมควบคุมโรคและสภากาชาดไทยซึ่งมีภารกิจให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและสุขภาพโดยไม่เลือกเชื้อชาติตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องหาวิธีระบุตัวบุคคลให้แม่นยำ โดยได้รับการสนับสนุนทีมนักวิจัยจากเนคเทค มาพัฒนาเทคโนโลยีการจดจำลายม่านตาและใบหน้า (Iris and Facial Recognition)ของไทย และปีที่ผ่านมาได้นำมาใช้ในพื้นที่นำร่อง พบว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการระบุตัวบุคคลได้อย่างดี เจ้าหน้าที่มีความพึงพอใจและเล็งเห็นประโยชน์ต่อแผนงานป้องกันควบคุมโรคและการดูแลสุขภาพ และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566 ได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน เพื่อขยายผลการดำเนินงานไปสู่จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ตาก ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2566 มีแรงงานข้ามชาติได้รับประโยชน์จากการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อรับบริการ    ทางการแพทย์และสาธารณสุขตลอดจนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแล้ว 8,619 คน โดยร้อยละ 80 เป็นแรงงานสัญชาติเมียนมา รองลงมาคือ กัมพูชา ร้อยละ 6.9 และลาว ร้อยละ 3.4 โดยสภากาชาดไทยได้สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์การใช้งานให้กับหน่วยบริการ ผู้ปฏิบัติงานจากพื้นที่นำร่องจะได้รับการอบรมการใช้งานก่อนนำไปปฏิบัติงาน พบว่าระบบนี้สามารถยืนยันตัวบุคคลแรงงานข้ามชาติที่มารับบริการที่โรงพยาบาลได้แม่นยำ สะดวกในการใช้งานกับการออกหน่วยเคลื่อนที่เพื่อให้บริการสุขภาพเชิงรุกในชุมชน เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรค รวมทั้งการคัดกรองสุขภาพต่างๆ อีกทั้งสามารถใช้งานร่วมกับการตรวจสุขภาพแรงงานก่อนการขึ้นทะเบียน

          สำหรับแนวทางการดำเนินงานในระยะถัดไป ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายหน่วยบริการให้ครอบคลุมในจังหวัดนำร่อง โดยสภากาชาดไทยพร้อมสนับสนุนอุปกรณ์เพิ่มเติมในหน่วยบริการที่ร่วมโครงการ และเล็งเห็นโอกาสในการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการเชื่อมโยงข้อมูลที่จัดเก็บนี้กับข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาล ทั้งด้านการรักษา ป้องกันควบคุมโรคให้ครอบคลุมตามหลักมนุษยธรรม โดยไม่ทิ้งกลุ่มใดไว้ข้างหลัง เตรียมจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพัฒนาแผนงานย่อยและเป้าหมายของการระบุตัวบุคคลในงานบริการตรวจสุขภาพแรงงานข้ามชาติปีต่อไป ภายใต้การทำงานแบบพหุภาคีที่มุ่งไปสู่สุขภาพที่ดีของทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย

**********************************

ข้อมูลจาก: สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค

วันที่ 29 ธันวาคม 2566



   
   


View 223    29/12/2566   ข่าวในรั้ว สธ.    สำนักสารนิเทศ