สาธารณสุข เตือนนักท่องป่าหน้าหนาว ที่ชอบนอนเต้นท์หรือจัดแคมป์ไฟ อย่าชะล่าใจ ระวังโรคโรค สครับไทฟัสจากตัวไรอ่อนกัดในร่มผ้า และโรคไข้ป่าจากยุงก้นปล่อง อันตรายถึงตาย ขณะนี้ทั้ง 2 โรคพบได้ตลอดปี พบคนป่วยรวมกันกว่า 24,000 ราย เสียชีวิตแล้ว 40 ราย แนะหากป่วยหลังเที่ยวป่า 10-14 วัน ควรพบแพทย์
นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงหน้าหนาวอากาศเย็น ฟ้าโปร่ง มักมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นิยมไปเที่ยวป่าและดูดาวในหน้าหนาว เดินป่า เที่ยวป่า กางเต็นท์นอนตามป่า โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาในภาคเหนือ ขอให้ระมัดระวังตนเอง เนื่องจากในป่าจะมีตัวไรอ่อน เป็นพาหะนำโรคสครับไทฟัส และโรคไข้จับสั่นหรือไข้มาลาเรีย ซึ่งเกิดจากยุงก้นปล่องกัด ซึ่งยุงชนิดนี้อยู่ในป่า และออกหากินเวลากลางคืนอยู่แล้ว ทั้ง 2 โรคนี้มีอันตรายทำให้เสียชีวิต จากรายงานโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศในปี 2549 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมจนถึงพฤศจิกายน พบมีคนป่วยจาก 2 โรคนี้แล้ว 24,199 ราย เสียชีวิต 40 ราย ประกอบด้วยโรคสครับไทฟัส 2,379 รายเสียชีวิต 3 ราย และโรคมาลาเรีย 21,820 รายเสียชีวิต 37 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆพบว่ามีแนวโน้มลดลงทั้งจำนวนคนป่วยและคนเสียชีวิต
นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคสครับไทฟัสที่พบ มีมากสุดที่ภาคเหนือจำนวน 1,126 ราย มากที่สุดที่จังหวัดเชียงราย 227 ราย น่าน 167 ราย รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 756 ราย มากสุดที่จ.ศรีสะเกษ 170 ราย อุบลราชธานี 150 ราย ส่วนภาคใต้พบ 381 ราย และภาคกลางพบ 116 ราย สำหรับโรคมาลาเรียพบมากที่สุดที่ภาคใต้ 9,255 ราย ภาคเหนือ 6498 ราย ภาคกลาง 5427 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 640 ราย จังหวัดที่พบมากที่สุดได้แก่ ตาก 3,241 ราย ระนอง 2,587 ราย แม่ฮ่องสอน 2,423 ราย จึงขอให้นักท่องเที่ยวประชาชนระมัดระวัง ควรใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด ใส่กางเกงขายาวเสื้อแขนยาวป้องกัน โดย 2 โรคนี้ไม่มียากินป้องกัน และไม่มีวัคซีนป้องกัน
ทางด้านนายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสครัปไทฟัส เกิดจากตัวไรอ่อน(Chigger) กัด ซึ่งในตัวไรอ่อนจะมีเชื้อริกเกทเซีย (Rickettsia orientalis) เชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของไรหลายชนิด เมื่อไรแก่ไข่ไว้บนดินและไข่ฟักเป็นตัว ไรอ่อนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ และกินน้ำเหลืองของสัตว์เลือดอุ่น เช่น นก หนู สัตว์เลื้อยคลาน และคนที่เดินผ่านบริเวณที่ไรอ่อนอยู่ บริเวณที่ไรอ่อนอยู่มักอยู่ตามทุ่งหญ้า ตามพุ่มไม้เตี้ยๆ หรือพื้นที่ป่าละเมาะรวมทั้งพื้นที่ที่เป็นป่าทึบ
ตัวไรอ่อนมีขนาดเท่าปลายเข็มหมุด มีสีส้มอมแดง มองเห็นด้วยตาเปล่า อาศัยอยู่ตามพื้นดิน บริเวณที่ชุ่มชื้น มีใบไม้ ใบหญ้า ปกคลุม ไรอ่อนจะต้องกินเลือดสัตว์หรือคนจึงจะเจริญเติบโตเป็นไรแก่ โดยไรอ่อนชอบกัดบริเวณร่มผ้า ได้แก่ที่อวัยวะสืบพันธุ์ ขาหนีบ เอว ลำตัว รักแร้และคอ ผู้ที่ถูกไรอ่อนกัด จะมีแผลไหม้( Eschar) คล้ายกับโดนบุหรี่จี้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ คือตรงกลางเป็นสะเก็ดสีดำ และรอบ ๆ แผลจะแดง หลังถูกกัดประมาณ 10 - 12 วัน จะมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัว ตาแดง อาจมีอาการทางปอดและสมองได้ ควรรีบไปพบแพทย์ หากรักษาไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้ และต้องแจ้งประวัติการไปเที่ยวป่าให้แพทย์ทราบด้วย
ในการป้องกันไม่ให้ไรอ่อนกัด ผู้ที่จะไปเดินป่า กางเต๊นท์นอนในป่า ควรใส่รองเท้า ถุงเท้า ที่หุ้มปลายขากางเกงไว้ และเหน็บปลายเสื้อเข้าในกางเกง ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ ใช้ยาทากันแมลงกัด ส่วนการเลือกที่ตั้งค่ายพักในป่า ควรทำบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือหญ้าขึ้นรก และเมื่อกลับมาถึงที่พัก ต้องรีบนำเสื้อผ้าไปต้ม หรือแช่ผงซักฟอกทันทีเพื่อทำลายไรอ่อนที่อาจติดมากับเสื้อผ้าได้
สำหรับโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องเป็นพาหะ เกิดจากเชื้อพลาสโมเดียม ( Plasmodium ) ซึ่งมี 4 ชนิด ที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชนิดพี.ฟัลซิพารัม ( P.falciparum ) ซึ่งเป็นชนิดที่รุนแรง และ พี.ไวแว็ก (P.vivax ) มีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาการของโรค คือ ไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี ทุกกลุ่มอายุ โดยพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 10-35 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า ลักษณะของอาการไข้ หากเป็นเชื้อฟัลซิปารัม จับไข้ทุก 36-48 ชั่วโมงหรือทุกวันก็ได้ และอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเช่น มาลาเรียขึ้นสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เหลืองซีด ปัสสาวะสีดำ ไตล้มเหลว ปอดบวมน้ำ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ส่วนเชื้อไวแวกซ์ จับไข้ทุก 48 ชั่วโมงหรือจับวันเว้นวัน
นายแพทย์ธวัช กล่าวต่อว่า ปัจจุบันก่อนเข้าไปในป่า ไม่แนะนำให้กินยาป้องกันโรคมาลาเรีย เนื่องจาก จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่ากินยาแล้วไม่ป่วยเป็นไข้มาลาเรีย และหากป่วยเป็นไข้มาลาเรียจริงๆก็จะตรวจไม่พบเชื้อ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปนอนแคมป์ตามป่าเขา ควรเตรียมมุ้งหรือเต้นท์ชนิดที่มีตาข่ายกันยุงได้ และสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว แต่แนะนำให้ใช้สีอ่อนๆ เพราะการใส่เสื้อผ้าสีดำมักดึงดูดความสนใจให้ยุงกัดได้มาก รวมทั้งการจุดยากันยุง การทายากันยุง หรือยาทาไล่ยุง เพื่อป้องกันยุงกัด ในการทายากันยุงต้องใช้ทาบริเวณที่มีโอกาสจะถูกยุงกัด ได้แก่ แขน ขา ใบหู หลังคอ และส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้า ทั้งนี้หากออกจากป่าแล้วมีไข้ ต้องรีบพบแพทย์ และต้องแจ้งประวัติแก่แพทย์ที่ตรวจรักษาด้วยว่ามีประวัติการเข้าป่า
View 13
17/11/2549
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ