รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมหมอ-พยาบาลจากสถาบันบำราศนราดูร ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ให้สมาชิกรัฐสภา สื่อมวลชน จำนวน 650 โดส ปีนี้ตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ 3 กลุ่มเสี่ยงใหญ่ จำนวน 2 ล้านกว่าคนฟรี ใช้งบ 500 ล้านบาท เริ่มเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ผลการฉีดวัคซีนป้องกันในปีที่ผ่านมา พบได้ผลดีมาก ลดผู้เสียชีวิตลงได้ร้อยละ 73 เช้าวันนี้ (26 มกราคม 2552) ที่อาคารรัฐสภา นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทีมแพทย์ พยาบาล จากสถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค จำนวน 19 คน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้แก่สมาชิกรัฐสภา และสื่อมวลชนจำนวน 650 โดส เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ทำงานหนัก มีเวลาพักผ่อนน้อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ นายวิทยา กล่าวว่า วัคซีนที่นำมาฉีดครั้งนี้เป็นวัคซีนรวม สามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก คือ ชนิด เอ สายพันธุ์โซโลมอน สายพันธุ์บริสเบน และชนิด บี สายพันธุ์ ฟลอริดา ราคา เข็มละ 228 บาท หลังฉีดวัคซีน 14 วัน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันติดเชื้อได้ 70-90 เปอร์เซ็นต์ หากติดเชื้อไข้ หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นนอกเหนือจากนี้ อาการก็จะไม่รุนแรง นายวิทยา กล่าวต่อไปว่า ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโครงการทั่วประเทศ โดยในปีนี้ตั้งเป้าฉีดให้กลุ่มเสี่ยง 3 กลุ่มใหญ่ จำนวน 2,190,000 คน ใช้งบจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 500 ล้านบาท ได้แก่ 1.ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังทุกอายุ เช่นเบาหวาน โรคไต โรคถุงลมปอด โป่งพอง โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคมะเร็งที่ต้องใช้เคมีบำบัด 2.กลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ ร่างกายอ่อนแอ มีความเสี่ยงสูงสุดเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุทั่วไป และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้ และ 3.กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อไข้หวัดใหญ่ รวมถึงเชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกเช่น อสม. อาสาสมัครปศุสัตว์ที่ทำลายสัตว์ปีกป้องกันการระบาดโรคไข้หวัดนก จะเริ่มฉีดในเดือนกรกฎาคม 2552 ที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง ทั้งต่างจังหวัดและกทม. ตลอดจนโรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัย ที่เข้าร่วมโครงการ ทางด้านนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบในไทยขณะนี้ยังไม่มีปัญหากลายพันธุ์ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นวิธีป้องกันการป่วยและเสียชีวิตของประชาชนอย่างได้ผล ในปี 2551 กระทรวงสาธารณสุขได้ฉีดวัคซีนป้องกัน 520,000 คน พบว่าได้ผลดีมาก สามารถลดการเสียชีวิตจากโรคนี้ ลงได้ร้อยละ 73 ในปี 2551 มีผู้เสียชีวิตเพียง 4 รายเท่านั้น ขณะที่ในปี 2550 มีผู้เสียชีวิต 15 ราย ส่วนผู้ป่วยก็ลดลงจากปี 2550 จำนวน 18,368 ราย เหลือ 18,092 รายในปี 2551 นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่มักระบาดในฤดูฝนและฤดูหนาว วัคซีนที่ฉีดครั้งนี้จะป้องกันโรค ได้ 1 ปี หลังฉีดบางรายอาจมีอาการข้างเคียงได้บ้าง เช่น อาการปวด บวมแดงที่บริเวณฉีด มีไข้ ต่ำๆ อาการจะหายได้เองใน 1-2 วัน ไม่จำเป็นต้องกินยาแก้ปวดลดไข้ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านให้ความเห็นว่าไทยอาจมีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ปีละประมาณ 7-9 แสนคน เสียค่ารักษารวมถึงความสูญเสียเศรษฐกิจอื่นๆ มูลค่าปีละ 913-2,400 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุขเร่งวิธีการป้องกันทุกวิถีทาง ทั้งรณรงค์ให้ประชาชนออกกำลังกายเพิ่มภูมิต้านทานโรค และสร้างค่านิยมให้ผู้ที่เป็นไข้หวัด ทุกคนคาดหน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่ขณะไอจาม ซึ่งจะลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ *********************************** 26 มกราคม 2552


   
   


View 9    26/01/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ