พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ฯ ทรงห่วงภัยโรคมะเร็ง ล่าสุดในปี 2550 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้มากเป็นอันดับ 1 ในประเทศ เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน แนวโน้มเพิ่มขึ้น ทรงชวนคนไทยใช้วันมะเร็งโลก เริ่มต้นลดพฤติกรรมเสี่ยง สร้างนิสัยให้เด็กไทยหันมากินผัก-ผลไม้ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ล้อมรั้วป้องกันภัยโรคมะเร็งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ผลสำรวจล่าสุด พบคนไทยวัย 15 ปีขึ้นไปกินผักน้อยมาก เฉลี่ยวันละไม่ถึง 3 ขีด วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2552) เวลา 14.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงาน“โครงการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก(World Cancer Day)” ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร จัดโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ร่วมกับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนแนวนโยบายขององค์การอนามัยโลก ที่ให้ทุกประเทศทั่วโลกร่วมกันรณรงค์ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน และกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตื่นตัว หันมาดูแลรักษา ใส่ใจสุขภาพให้พ้นภัยจากโรคมะเร็ง โดยมีนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กราบทูลถวายรายงานว่า องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันมะเร็งโลก เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตื่นตัวให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพ ป้องกันตนเองให้พ้นภัยจากโรคมะเร็ง ในปีนี้ได้มุ่งเน้นรณรงค์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เด็กหันมากินผักผลไม้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ภายใต้คำขวัญรณรงค์ว่า “I Love My Healthy Active Childhood” หรือ “ฉันรักอาหารที่ดี มีการออกกำลัง มุ่งหวังป้องกันมะเร็ง” เพราะการสร้างนิสัยเพื่อสุขภาพที่ดีในวัยเด็กจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งในวัยผู้ใหญ่ได้ ซึ่งมีผลวิจัยชัดเจนว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งได้ถึงร้อยละ 40 เช่น งดการสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ กินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารที่กินแต่ละมื้อ เนื่องจากกากใยในผักผลไม้จะช่วยในการขับถ่ายและดูดซับสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหารและน้ำไม่ให้สะสมในร่างกาย ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ขณะนี้โรคมะเร็งกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงระดับโลก เป็นสาเหตุให้คนทั่วโลกเสียชีวิตปีละ 7.6 ล้านคน หรือร้อยละ 13 ของผู้เสียชีวิตทุกสาเหตุ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2573 หรืออีก 22 ปี ผู้เสียชีวิตจากโรคนี้จะเพิ่มเป็น 11.5 ล้านคน หรือเพิ่มมากกว่าร้อยละ 50 เป็นภัยหลักที่คุกคามสุขภาพประชากรโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ ซึ่ง 2 ใน 3 ของผู้ป่วยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา สำหรับสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทย พบว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งติดต่อกันมากว่า 6 ปี และเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี ในปี 2550 มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็ง 53,434 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน ในจำนวนนี้ผู้ชายเป็นโรคมะเร็งตับมากที่สุด รองลงมาคือ มะเร็งปอด ขณะที่ผู้หญิงเป็นมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม โดยผู้ที่เสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 80 พบแพทย์เมื่อมะเร็งลุกลามไปแล้ว หากตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก โอกาสหายขาดก็จะมีมากถึงร้อยละ 80-90 ในการนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระดำรัสว่า ขณะนี้คนไทยเสียชีวิตโรคมะเร็งมากเป็นอันดับ 1 แต่คนไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มักไปพบแพทย์เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามไปแล้ว หรือพบแพทย์ช้าเกินไป ทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ทรงเชิญชวนคนไทยใช้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นวันเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง โดยเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถือว่าเป็นการล้อมรั้วเพื่อป้องกันภัยร้ายให้กับประเทศชาติ เพราะโรคมะเร็งเป็นโรคที่ใช้เวลาในการดำเนินโรคนานหลายปี หากวัยเด็กมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งแล้ว พฤติกรรมนั้นจะต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ด้วย ทางด้านนายแพทย์เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในวัยผู้ใหญ่มาก โดยผลสำรวจสภาวะสุขภาพประชาชนไทยล่าสุดในปี 2547 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ร้อยละ 78 กินผักผลไม้น้อยมาก ผู้ชายกินโดยเฉลี่ยวันละ 268 กรัม ผู้หญิงกินเฉลี่ยวันละ 283 กรัม ซึ่งจัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานโลก ที่กำหนดให้กินวันละ 400 กรัมขึ้นไป จึงจะมีผลในการป้องกันโรค ส่วนเรื่องการออกกำลังกายพบว่า ยังมีประชาชนร้อยละ 22 ที่ยังออกกำลังกายไม่เพียงพอ สำหรับโครงการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายในงานประกอบด้วย บริการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ นิทรรศการให้ความรู้และการป้องกันโรคมะเร็งตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงการเสริมสร้างพฤติกรรมและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญของเยาวชน ให้มีความรู้ ความเข้าใจ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ********************************************* 3 กุมภาพันธ์ 2552


   
   


View 10    03/02/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ