รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รุดตรวจเยี่ยมชมคลังยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ขององค์การเภสัชกรรม พบมีเพียงพอใช้รับมือกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แน่นอน โดยมีทั้งหมด 50 ล้านเม็ด ขณะนี้ได้ส่งยาไปต่างจังหวัดแล้ว 7 ล้านกว่าเม็ด กำลังจะส่งเพิ่มอีก 4 ล้านเม็ด และมีวัตถุดิบพร้อมผลิตได้อีก 40 ล้านเม็ด และยังมีหน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้ออีกกว่า 7 ล้านชิ้น สำรองเพิ่มอีก 3 ล้านชิ้น นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรม เพื่อดูระบบความพร้อมการผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทาเวียร์ชนิดแคปซูล เพื่อรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 พร้อมด้วยนายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ว่า องค์การเภสัชกรรมถือว่าเป็นองค์กรที่ดูความมั่นคงทางยาในประเทศ จากการตรวจสอบยาที่รักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้งวัตถุดิบและยาที่บรรจุแคปซูลแล้ว พบว่ามีพอเพียง โดยได้กระจายยาไปทั่วประเทศแล้ว 7 ล้านกว่าเม็ด และพร้อมจะส่งอีก 4 ล้านกว่าเม็ด และยังมีวัตถุดิบพร้อมที่จะผลิตเพิ่มอีก 40 ล้านเม็ด รวมแล้วขณะนี้เรามียาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ประมาณ 50 ล้านกว่าเม็ดเพียงพอต่อการใช้แน่นอน นอกจากนี้องค์การเภสัชกรรมมีหน้ากากอนามัยเพื่อใช้ป้องกันการติดเชื้อไว้ 7 ล้านกว่าชิ้น มีทั้งชนิดที่ใช้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป และสำรองเพิ่มอีก 3 ล้านชิ้น นายมานิตกล่าวต่อว่า ที่เป็นห่วงและกำลังติดตามขณะนี้ก็คือเรื่องวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่องค์การเภสัชกรรมผลิต โดยเฉพาะที่ใช้ไข่ ถ้าเราสามารถผลิตได้ ก็จะสามารถฉีดให้อาสาสมัครได้ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2552 นี้ หากได้ผลการฉีดในอาสาสมัครเรียบร้อยแล้ว และจะผลิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้ฉีดให้คนไทย เราจะต้องใช้ไข่ถึงวันละ 15,000 ฟอง และเป็นไข่ที่สะอาด ปลอดโรค มีระบบการเลี้ยงได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก ซึ่งปัญหาไข่ในประเทศไทย เป็นไข่ที่กรมปศุสัตว์ผลิตเพื่อผลิตวัคซีนใช้รักษาโรคในสัตว์ แต่ชนิดของไข่สามารถนำมาใช้ผลิตวัคซีนสำหรับคนได้ แต่จะมีปัญหาในเรื่องของกำลังการผลิต ซึ่งในขั้นตอนนี้จะต้องดูโรงเลี้ยงไก่ของกรมปศุสัตว์และโรงเลี้ยงของภาคเอกชน หากสามารถดำเนินการได้ตามมาตรฐานคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ ก็สามารถนำมาดำเนินการ เพื่อให้เป็นคู่ขนานกับวัคซีนที่สั่งนำเข้าจากต่างประเทศ นายมานิตกล่าวต่ออีกว่า ในวันนี้ได้มีการหารือกันในเรื่องของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่สั่งนำเข้า 2 ล้านโดส และจะมาถึงไทยในปลายเดือนธันวาคม 1 ล้านโดส และเดือนมกราคม 2552 อีก 1 ล้านโดส คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการหนึ่งของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้จัดอันดับความสำคัญของการใช้วัคซีนในกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำเสนอในการปฎิบัติการ เนื่องจากวัคซีนมีจำนวนจำกัด เพื่อลดการเสียชีวิตของประชาชน มีทั้งหมด 5กลุ่ม กลุ่มแรกได้แก่บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่ม 2 ได้แก่หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 3 เดือน กลุ่ม 3 ได้แก่คนอ้วนน้ำหนักตั้งตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไป กลุ่ม 4 ได้แก่ผู้พิการทางสมอง กลุ่มที่ 5 ได้แก่ผู้ที่เป็นประจำตัวเรื้อรังได้แก่โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจทุกประเภท โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด โรคธาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรง ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน และ โรคเบาหวานที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน ******************************** 5 พฤศจิกายน 2552


   
   


View 16    05/11/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ