สาธารณสุข ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ช่วยดูแลกำกับพื้นที่ 3 เรื่องใหญ่ ได้แก่ การควบคุมป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 คาดถึงปลายปีนี้ยอดผู้ติดเชื้ออาจถึง 10 ล้านคน โรคยังระบาดต่อเนื่องไปถึงกลางปีหน้า โครงการไทยเข้มแข็ง และการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในปี 2553 วงเงินกว่า 11,000 ล้านบาท ให้จัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส คาดจะเริ่มเดินหน้าตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 เป็นต้นไป วันนี้ (16 ธันวาคม 2552) ที่กระทรวงมหาดไทย กทม. นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ร่วมประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล เพื่อชี้แจงนโยบายเร่งด่วนในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศที่เพื่อให้เกิดการบริการจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวว่า เรื่องด่วนที่ต้องขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการมี 3 เรื่อง เรื่องแรก ได้แก่ การป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คาดว่าขณะนี้มีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ 8.5 ล้านคน จะเพิ่มเป็น 10 ล้านคนในปลายปี 2552 นักวิชาการคาดการณ์ว่าโรคจะระบาดไปจนถึงกลางปี 2553 ก่อนที่จะกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนธันวาคมนี้ พบจำนวนผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นพบมากใน 12 จังหวัด ได้แก่ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ อ่างทอง แพร่ อุตรดิตถ์ ชลบุรี ชัยนาท ปทุมธานี พิจิตร ราชบุรี สมุทรสงคราม และสุโขทัย เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อชะลอการแพร่ระบาด รวมทั้งโรคติดต่อประจำถิ่นอื่นๆ เช่น อุจจาระร่วง ไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลายด้วย เนื่องจากได้กระจายอำนาจในการบริหารลงสู่ท้องถิ่นมากขึ้น และลักษณะการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ขยายวงกว้าง ต้องรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคให้มากขึ้น นอกจากนี้ ขอให้เข้มข้นการดูแลความสะอาดสิ่งแวดล้อม ตามสถานที่สาธารณะ สถานบริการ ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่มีคนมารวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น การประชุม คอนเสิร์ต การเข้าค่ายของนักเรียนนักศึกษา ขอให้จัดหาน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อให้ผู้ใช้บริการ/ผู้ร่วมกิจกรรมได้ล้างทำความสะอาดมือบ่อยๆ และให้คนป่วยเป็นหวัดหยุดอยู่บ้าน 3-5 วัน ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง หายป่วยเร็ว และลดการแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นด้วย เรื่องที่ 2 คือการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนที่ได้งบประมาณตามพระราชกำหนด พ.ศ.2553 วงเงิน 11,515 ล้านบาท ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทบทวนรายละเอียดรายการและราคา เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยตามนโยบายได้กระจายอำนาจให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง จึงขอความร่วมมือให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลควบคุมกำกับให้มีความโปร่งใสทุกขั้นตอน และส่งผลการจัดซื้อจัดจ้างของจังหวัดให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขออนุมัติเงินงวดทันวันที่ 30 มกราคม 2553 ตามที่ขอผ่อนผันกับกระทรวงการคลังไว้ และเรื่องสุดท้ายคือ การพัฒนาสถานีอนามัยทั่วประเทศทั้งหมด 9,810 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพิ่มคุณภาพบริการใกล้บ้าน เป้าหมายในปี 2552 ประมาณ 1,000 แห่งและปี 2553 เพิ่มอีก 1,000 แห่ง ใช้การทำงานรูปแบบใหม่เน้นเชิงรุกส่งเสริมสุขภาพให้ประชาชนมีสุขภาพดี ลดการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และโรคติดต่อ ขอความร่วมมือให้จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนงบประมาณดำเนินงานต่างๆ และผลิตบุคลากร ซึ่งขณะนี้ยังขาดแคลน 50 เปอร์เซ็นต์ มีเจ้าหน้าที่เฉลี่ยแห่งละประมาณ 3 คนจะต้องเพิ่มเป็น 5 – 10 คน ตามจำนวนประชากรที่รับผิดชอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ******************************** 16 ธันวาคม 2552


   
   


View 14    16/12/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ