นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 63 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในวันที่ 17 – 23 พฤษภาคม 2553ว่า ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 นั้นจะมีประเด็นสำคัญ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจากประเทศไทย จะต้องแถลงต่อที่ประชุมในเรื่องความสำเร็จของงานด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ในที่ประชุมครั้งนี้ด้วย นายจุรินทร์กล่าวว่า ได้มีการเตรียมประเด็นในการแถลงครั้งนี้ โดยจะบอกให้โลกได้รับทราบว่าความสำเร็จของประเทศไทย อย่างน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ประการแรกได้แก่การมีระบบประกันสุขภาพที่เข็มแข็งที่ใช้ในปัจจุบัน 3 ระบบ คือ ระบบสวัสดิการข้าราชการ ระบบประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าระบบรักษาพยาบาลฟรีซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ประการที่2. การมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเข็มแข็งในทุกระดับโดยเฉพาะสถานพยาบาล ตั้งแต่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน จนกระทั่งถึงสถานีอนามัย ประการสุดท้ายคือมีการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพต่างๆที่มีศักยภาพ มีความก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับทั้งบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นจุดเด่นสำหรับประเทศไทย และหลายประเทศยังทำไม่ได้ คือการที่มีอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.ที่มีความเข้มแข็งและสามารถช่วยงานด้านสาธารณสุขอย่างดี จนเป็นตัวอย่างหลายประเทศ นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญต่อไปที่จะบอกที่ประชุม ก็คือการพัฒนาในปี 2554 หลายประเด็น ซึ่งรัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณรักษาฟรีรายหัวเพิ่มขึ้น 145 บาท จากเดิม 2,401 บาท เป็น 2,546 บาท 2.คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการช่วยเหลือคนไร้รัฐหรือที่ยังไม่มีสัญชาติไทย จำนวน 457,000 คน ที่เคยได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลมาแล้ว ให้ได้รับการรักษาฟรี ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ชื่นชมขององค์การอนามัยโลกมาก โดยผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยได้ทำหนังสือแสดงความชื่นชมมายังกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อ 1 – 2 เดือนที่ผ่านมา 3. มีโครงการที่จะยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลตำบลครบทั้ง10,000 แห่งภายใน 2 ปี ซึ่งในปีนี้จะทำ 2,000 แห่ง และปีหน้าอีก 8,000 แห่ง 4.จะทุ่มงบประมาณไทยเข็มแข็งเพื่อพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลศูนย์ภายใน 2 ปีนี้ ตั้งแต่ปี 2553 – 2554 เป็นเงินรวมกันถึง 23,500 ล้านบาท 5.การอบรมอสม. จำนวน 150,000 คน ในปี 2553 พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพ อสม.ให้มีบทบาทเชิงรุก 6. เตรียมวางแผนการผลิตแพทย์ให้พอกับความต้องการภายใน 6 ปี ทันตแพทย์ภายใน 10 ปี รวมทั้งพยาบาลที่จะยกระดับเป็นพยาบาลเวชปฏิบัติให้พอเพียงกับความต้องการของประเทศ รวมทั้งบุคลากรด้านอื่นๆ และประการสุดท้ายมูลนิธิเจ้าฟ้ามหิดลจะจัดการประชุมครั้งสำคัญในเดือนมกราคม 2554 ในหัวข้อที่สอดคล้องกับทิศทางขององค์การอนามัยโลกคือบุคลากรสาธารณสุขกับความท้าทายหนทางสู่ความสำเร็จของเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (The Millennium Development Goals: MDG ) นอกจากนี้ ยังมีวาระสำคัญจะเข้าพบแพทย์หญิงมากาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อีกเรื่องหนึ่งคือจะเป็นตัวแทนประเทศไทย ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.กับองค์การอนามัยโลก ว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ ............................. 16 พฤษภาคม 2553


   
   


View 9    16/05/2553   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ