วันนี้ (14 มิถุนายน 2553) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สป.สช.) ศูนย์ราชการ กรุงเทพฯ ว่า ที่ประชุมมีความเห็นให้แก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องการทำซีแอลยาต้านไวรัสเอดส์ 2 ชนิด ได้แก่ ยาเอฟฟาไวเร็นซ์ (Efavirenze) และยาสูตรผสมระหว่างโลพินาเวียร์กับริโทรนาเวียร์(Lopinavir/Ritronavir) เพื่อให้ขยายเวลาการทำซีแอลไปจนสิ้นอายุสิทธิบัตร โดยยาเอฟฟาไวเร็นซ์ จะหมดสิทธิบัตรในวันที่ 31 มกราคม 2555 ส่วนยาสูตรผสมฯ จะหมดสิทธิบัตรวันที่ 4 ธันวาคม 2559 ทั้งนี้ การให้สิทธิให้ครอบคลุมกลุ่มบุคคลรอพิสูจน์สัญชาติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อมีนาคม 2553 ด้วย รวมทั้งครอบคลุมถึงอนุพันธ์ทุกรูปแบบของยาทั้ง 2 ชนิดด้วย
นายจุรินทร์กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า หากประกาศซีแอลต่อ จะช่วยประหยัดงบประมาณในการซื้อยาต้านไวรัสเอดส์จนถึงหมดสิทธิบัตร เป็นจำนวนเงิน 3,287 ล้านบาท และจากการตรวจสอบการประกาศซีแอลครั้งแรก พบช่วยประหยัดงบประมาณจนถึงปัจจุบันได้ถึง 1,189 ล้านบาท เนื่องจากหลังประกาศซีแอลยาทั้ง 2 ชนิด ทำให้ราคาขายในท้องตลาดของยาเอฟฟาไวเร็นซ์ ลดลง 3.4 เท่า ส่วนยาสูตรผสมฯ ลดลง 6.4 เท่า ได้ให้กรมควบคุมโรคดำเนินการแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศซีแอลยา จำนวน 7 รายการ ประกอบด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ 2 รายการ ซึ่งยาเอฟฟาไวเร็นซ์จะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 และยาสูตรผสมฯหมดอายุ 31 มกราคม 2555 ส่วนยาอีก 5 รายการได้แก่ ยาหลอดเลือดหัวใจและสมอง 1 รายการ ยารักษาโรคมะเร็งอีก 4 รายการ ได้ประกาศทำซีแอลจนสิ้นสิทธิบัตรยา
นายจุรินทร์กล่าวต่ออีกว่า จากข้อมูลของ สป.สช. กรณีของยาเอฟฟาไวเร็นซ์ ก่อนประกาศซีแอลมีผู้เข้าถึงยาจำนวน 4,539 ราย แต่หลังประกาศซีแอลมีผู้เข้าถึงเพิ่มขึ้นเป็น 29,360 ราย ส่วนยาสูตรผสมฯ ก่อนประกาศ มีผู้เข้าถึงยาจำนวน 39 ราย หลังประกาศเพิ่มเป็น 6,246 ราย
มิถุนายน ................................ 14 มิถุนายน 2553