นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ 15 อสม.ดีเด่นระดับชาติ 12 สาขา เนื่องในวันอาสามัครสาธารณสุขแห่งชาติประจำปี 2553 ฝากอสม.กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ร่วมเป็นผู้นำการสร้างสุขภาพประชาชนไทย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบในวันที่ 5 ธันวาคม 2554   

วันนี้ (24 มิถุนายน 2553) ที่หอประชุมกองทัพเรือ กทม. นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมงานเชิดชูเกียรติ อสม. เนื่องในวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ 20 มีนาคม 2553 โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กรรมการบริหารชมรม อสม.แห่งประเทศไทย ประธานชมรม อสม.ระดับจังหวัดและระดับอำเภอ รวมทั้งอสม.ดีเด่นระดับชาติ ปี 2540-2552 และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมงาน 2,500 คน
                      
ในการนี้ มีพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ จากพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแก่อสม.ดีเด่น ประจำปี 2551-2553 ประกอบด้วย ชั้นเหรียญทอง 14 คน ชั้นเหรียญเงิน 30 คน และนายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเข็มทองคำเชิดชูเกียรติ พร้อมใบประกาศเกียรติคุณแก่อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี 2553จำนวน 15คนใน 12สาขา ดังนี้1.สาขาการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ได้แก่ นางคลี่ ชูชาติ จ.ตรัง 2.สาขาสุขภาพจิตชุมชน ได้แก่ นางร่อบีด๊ะ กระบี่วงศ์ จ.กระบี่ 3.สาขาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน ได้แก่ นายอภิชาต โพธิสาร จ.ร้อยเอ็ด 4.สาขาการบริการสุขภาพในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนได้แก่ นางสำอาง ช้อยชด จ.ร้อยเอ็ด 5.สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ได้แก่ นางเพ็ญประภา สมบัติกำไร จ.อุดรธานี 6.สาขาการแพทย์แผนไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ได้แก่ นายคำ เตลา จ.น่าน 7.สาขาการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในชุมชน ได้แก่ นางนิภาพร พัฒนาขา จ.ชุมพร 8.สาขาการส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ นางยุพิน สีต๊ะสาร จ.น่าน 9.สาขาการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ได้แก่ นางอุทัย นามวงศ์ชัย  จ.สกลนคร 10.สาขาการจัดการสุขภาพชุมชน ได้แก่ นายอเนก สิทธิ จ.น่าน 11.สาขานมแม่ สายใยรักแห่งครอบครัว ได้แก่ นางศิริพรรณ ภัทรสิริวรกุล จ.กาญจนบุรี และสาขาการปฏิบัติงานดีเด่นในพื้นที่พิเศษชายแดนภาคใต้ 4 รางวัล ได้แก่นายเกษม เอียดปราบ จ.สงขลา นางนฤมล สาเละ จ.ปัตตานี นายแวดอเลาะ ประดู่ จ.ยะลา และนางยามิงละห์ มะ จ.นราธิวาส
นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติ ให้อสม.ดีเด่นระดับภาค 33คนอสม.ดีเด่นระดับเขต 154คน   และมอบโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณอสม.ดีเด่นระดับจังหวัด 616คน อสม.ดีเด่น กทม. 10คน และอสม.ดีเด่นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต 1คนรวมทั้งสิ้น 873 คน
                      
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำการสาธารณสุขมูลฐานมาใช้ เพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพได้ด้วยตัวเอง โดยรัฐบาลจัดบริการสุขภาพที่ประชาชนทำเองไม่ได้ และเร่งพัฒนาประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองทางสุขภาพเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่ให้ฟื้นฟูงานสาธารณสุขมูลฐาน เน้นการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของสังคม ท้องถิ่น ชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางและบริหารจัดการสุขภาพ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอสม.ให้มีโอกาสเรียนต่อในระบบการศึกษานอกโรงเรียน เพิ่มการสนับสนุนความเข้มแข็งของชมรม เครือข่าย อสม. รวมทั้งส่งเสริมบทบาทอสม.ในการทำงานเชิงรุกสร้างสุขภาพประชาชน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานเดือนละ 600 บาท และปรับปรุงสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลให้อสม.และครอบครัว ให้ทุนการศึกษาแก่อสม.และบุตร เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อสม.ปฏิบัติงานได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ เป็นพลังในการส่งเสริมป้องกันโรคในชุมชนร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจมาสู่คนไทยทุกคน และในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ขอเชิญชวนพี่น้องอสม.กว่าล้านคนร่วมเป็นผู้นำสร้างสุขภาพแก่คนไทยเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้คำขวัญ “อสม. ล้านดวงใจ สร้างสุขภาพคนไทย ถวายพ่อของแผ่นดิน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
          ทั้งนี้ ปัจจุบันทั่วประเทศมี อสม.ทั้งหมด 1,002,243 คน ประมาณร้อยละ 70 เป็นผู้หญิง ร้อยละ 33 เป็นอสม.นาน 4-9 ปี ร้อยละ 31 เป็นอสม.นาน 10-19 ปี และร้อยละ 9 เป็นอสม.มานานกว่า 20 ปี ในปี 2553 กระทรวงสาธารณสุขจะพัฒนาอสม.ทั่วประเทศให้มีความรู้เรื่องการปฏิบัติงานเชิงรุก และบูรณาการงานด้านสาธารณสุข 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การจัดทำแผนสุขภาพชุมชน การวางยุทธศาสตร์หรือวิธีแก้ไขปัญหา และระดมความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย 2.เป็นแกนประสานระหว่างชุมชน สถานีอนามัย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ 3.สื่อสารนโยบายกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติจริงกับประชาชนให้ประสบผลสำเร็จ และ 4.เป็นสมาชิกเมืองคนดีของปปช. เพื่อทำให้ประเทศเป็นเมืองสะอาด ปราศจากคอรัปชั่น
************************     24 มิถุนายน 2553


   
   


View 11    24/06/2553   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ