วันนี้( 28 พฤศจิกายน 2553 ) ที่สวนจตุจักร กรุงเทพมหานคร นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และตัวแทนภาคีเครือข่ายองค์กรเอกชน เปิดรณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลก 1 ธันวาคม 2553 ภายใต้แนวคิดสิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ คือสิทธิมนุษยชน (Universal Access and Human Rights)

 

 

 

          นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 520,000 ราย และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10,000 ราย ตั้งเป้าหมายว่าในหน้าจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลงครึ่งหนึ่งให้เหลือประมาณปีละไม่เกิน 5,000-6,000 ราย โดยมีมาตรการชัดเจนคือเรื่องของการป้องกัน กลุ่มแรกคือกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์ทางเพศกับชาย ซึ่งมีประมาณร้อยละ 33 และกลุ่มที่ติดเชื้อจากคู่นอนประจำจากสามี ภรรยา ที่อยู่ในครอบครัว ประมาณร้อยละ 28 ซึ่งจะต้องดูที่ต้นเหตุ โดยแนวทางที่จะแก้ปัญหาและป้องกันได้ดีที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัย โดยรณรงค์ให้ใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ประเด็นใหญ่ที่สำคัญก็คือทำอย่างไรให้เข้าถึง
ทั้งนี้กรมควบคุมโรค ได้จัดงบประมาณซื้อถุงยางอนามัยกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศปีละประมาณ 20 ล้านชิ้น จะต้องมีกลยุทธกลวิธีที่จะให้เข้าถึงกลุ่มเหล่านี้ โดยกระจายไปยังสถานบริการ และผ่านกลุ่มรักร่วมเพศ เพื่อไปกระจายต่อ และรณรงค์ให้เห็นความสำคัญในการใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันการติดเชื้อ ส่วนในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดซึ่งใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งพบว่าก่อนหน้านี้ติดผ่านทางนี้มาก แต่ขณะนี้คณะกรรมการเอดส์ชาติได้มีมติ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 เปิดโอกาสให้สามารถนำเข็มฉีดยาเก่ามาแลกเข็มใหม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นการส่งเสริมให้ติดยาเสพติด แต่เป็นการช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้
          สำหรับการป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มชายรักชาย ต้องมีการกระจายการใช้ถุงยางให้ทั่วถึงและรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เข้าถึงบริการต่างๆ ทั้งให้คำปรึกษา หรือคลินิกต่างๆ ที่มีบริการอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศขณะนี้ 421 ศูนย์ ซึ่งมีเครือข่ายทำงานร่วมกัน 3 ฝ่ายคือ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล องค์กรเอกชน และเครือข่ายผู้ป่วย จะเป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และจะสามารถลดการติดเชื้อได้ นอกจากนี้นโยบายให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ 2 ตัวที่มีราคาแพง ซึ่งได้ขยายซีแอลไปจนหมดอายุสิทธิบัตร คือ อีฟาไวเรนซ์(Efavirenze)และคาเล็ตตร้า(Kaletra)เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเอดส์ได้มากขึ้นและค่าใช้จ่ายถูกลง ในปีนี้กองทุนเอดส์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพ ได้จัดงบประมาณดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้น จาก 2,700 กว่าล้านบาท เป็นประมาณ 3,000 ล้านบาทด้วย 
 
                 
 
 
 
 
นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงเรื่องการที่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้โดยไม่ต้องให้ผู้ปกครองเซ็นต์ยินยอมว่า เป็นอำนาจของแพทยสภาที่จะเป็นผู้พิจารณา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและฐานะนายกพิเศษแพทยสภา จะส่งเรื่องนี้ไปให้แพทยสภาพิจารณา เพื่อดูข้อดีข้อเสียและความเป็นไปได้ รวมทั้งการกำหนดมาตรการให้คำปรึกษาดูแล มีองค์กรติดตามดูแลควบคู่ขนานกันไปอย่างเป็นรูปธรรมด้วย เช่น กรณีถ้าผลออกมาเป็นบวกหรือติดเชื้อ จะต้องมีวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้องด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะมีตามมา เพราะเดิมนั้น ถ้าผู้ปกครองอนุญาตหรือรับทราบ ก็จะเป็นผู้ดูแล ช่วยดูแลได้
 
**********************28 พฤศจิกายน 2553


   
   


View 8       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ