วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2553) ที่กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวและเปิดการเสวนา สมองเด็กไทย...รอไม่ไหวแล้ว เป็นกิจกรรมต่อเนื่องในการแก้ไขระดับเชาว์ปัญญาเด็กไทย หรือไอคิว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของประเทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง

          นายจุรินทร์กล่าวว่า ผลสำรวจเมื่อปี 2552 พบว่าไอคิวเด็กไทยอยู่ที่ 91 จุด ซึ่งเกือบตกเกณฑ์ขั้นต่ำของระดับสากลที่อยู่ที่ 90-110 จุด เป็นสัญญาณน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งองค์การอนามัยโลก และองค์การยูนิเซฟ จึงต้องค้นหาสาเหตุ โดยสาเหตุสำคัญประการหนึ่งเกิดจากการขาดไอโอดีน เป็นข้อสรุปที่มีความชัดเจน และต่อไปนี้จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาไอคิวเด็กไทยด้วยนโยบายเพิ่มไอโอดีน เพิ่มไอคิว ซึ่งที่ผ่านมามีแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม 4 ประการ ประการที่ 1 ได้ลงนามในประกาศ 4 ฉบับของกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ต้องเติมไอโอดีนในเกลือ น้ำปลา น้ำปลาปรุงรส ซีอิ๊ว และซอสปรุงรสต่างๆ โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป หากผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมา ไม่เติมไอโอดีน จะมีความผิดตามกฎหมาย ประการที่ 2 กำหนดให้แจกไอโอดีนเม็ด ซึ่งผสมเหล็กและโฟเลท ฟรี แก่หญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศซึ่งมีประมาณ 8 แสนถึง 1 ล้านคน ที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศที่ไปฝากครรภ์ทุกเดือน
ประการที่ 3 กำหนดให้ตรวจภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ในเด็กแรกเกิดทุกราย ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับไอโอดีนจะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที และประการที่ 4 คือนโยบายมอบหนังสือเล่มแรก จำนวน 3 เล่มให้เด็กตั้งแต่แรกเกิด อายุ 6 เดือน และ 1 ปี เพื่อช่วยเสริมเชาวน์ปัญญาและเติบโตมีพัฒนาการสมวัย แนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการดังกล่าว องค์การอนามัยโลก และสภาป้องกันภาวะขาดไอโอดีนเอเชียแปซิฟิก ได้ให้การยกย่องชมเชยมาตรการเหล่านี้ของประเทศไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม หลังจากเข้าพบเมื่อเดือนที่ผ่านมา
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า เพื่อให้นโยบายเพิ่มไอโอดีน เพิ่มไอคิว เดินหน้าด้วยความเข้มข้น และมีผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนต่อไป ได้มอบแนวทางให้อธิบดีกรมสุขภาพจิตดำเนินการสำรวจไอคิวของเด็กไทยทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นการสำรวจครั้งแรกที่ใช้เกณฑ์มาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับ จำนวนประมาณ 100,000 คน โดยในวันที่ 9 ธันวาคม 2553 จะมีการประชุมอบรมเจ้าหน้าที่เตรียมการสำรวจไอคิว และจะดำเนินการสำรวจตั้งแต่วันที่ 13-24 ธันวาคม 2553 ใช้เวลา 5 วันตามความพร้อมของพื้นที่ คาดว่าในช่วงหลังปีใหม่ก็จะทราบผลชัดเจนว่าไอคิวของเด็กไทยเฉลี่ยทั้งประเทศเป็นเท่าไร ลงลึกถึงรายภาค และรายจังหวัด ในอนาคตถ้ามีความจำเป็นอาจจะลงลึกถึงระดับพื้นที่ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาไอคิวของคนไทยต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ แนวทางสากลส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายการเพิ่มไอคิวแก่ประชาชนภายใน 5 ปี ซึ่งไทยจะทำเช่นเดียวกัน และหากสามารถทำได้อาจมีการชี้วัดถี่กว่า 5 ปี จะเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดอีกครั้งหนึ่งของงานกระทรวงสาธารณสุขและประเทศไทย ที่จะช่วยให้เราเดินหน้าไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ โดยใช้ทรัพยากรบุคคลเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาเพราะถ้าไอคิวของเราต่ำ จะมีผลต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
กระบวนการในการพัฒนาไอคิวเด็กไทย จะเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ชัดเจน เป็นรูปธรรม เพราะผมถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งของประเทศ เราจะลงทุนพัฒนาประเทศไปเท่าไรก็ตาม ถ้าคนไทยเชาวน์ปัญญาต่ำ การจะพัฒนาไปไกลอย่างที่หวัง ก็คงจะเป็นไปได้ยาก เป็นปัญหาต้นทางสำคัญที่สุดที่ต้องเร่งแก้ นายจุรินทร์กล่าว
ด้านนายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การสำรวจไอคิวครั้งนี้ จะใช้แบบสำรวจชื่อ เอสพีเอ็ม พาราเรล (SPM : Standard Progressive Matrices Parallel) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำรวจไอคิวระดับโลกหลายประเทศใช้ การสำรวจของไทยครั้งนี้จะเป็นการสำรวจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะในประวัติศาสตร์เคยสำรวจจำนวน 60,000 กว่าตัวอย่าง และในหลายประเทศทำในระดับประเทศเท่านั้น ครั้งนี้ประเทศไทยจะสำรวจในเด็กวัยเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทุกจังหวัดทั่วประเทศจำนวนกว่า 90,000-100,000 คน โดยดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีนักจิตวิทยาคลินิกอยู่เป็นจำนวนมาก
สำหรับกระบวนการทดสอบไอคิว จะใช้แบบทดสอบเอสพีเอ็ม พาราเรล ซึ่งเป็นแบบทดสอบความถนัด ที่ทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้ภาษา เป็นเอกสารให้เด็กทำแบบข้อสอบ ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที สามารถรวบรวมข้อมูลได้ง่าย โดยให้เด็กใช้ดินสอ 2 บีระบายในช่องคำตอบ และตรวจสอบโดยเครื่องสแกนข้อสอบ
หลังจากได้ผลสำรวจแล้ว จังหวัดที่ได้ผลสำรวจไอคิวต่ำประมาณ 10-20 จังหวัด จะต้องให้ความสนใจในการแก้ปัญหา ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำว่าให้เริ่มโดยการให้เกลือไอโอดีนก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้มาตรการอื่นต่อไป ซึ่งองค์ความรู้ของกระทรวงสาธารณสุขพร้อมที่จะช่วยเหลือจังหวัดเหล่านั้นอยู่แล้ว การได้ผลสำรวจครั้งนี้จะทำให้เกิดความตระหนัก เชื่อว่าองค์กรท้องถิ่นและผู้ที่รับผิดชอบของจังหวัดนั้นจะช่วยกันแก้ไขปัญหาซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ตามที่รัฐมนตรีต้องการให้มีการวางแผนชาติ เพื่อพัฒนาสติปัญญาคนไทยขึ้นทุกๆ 5 ปี
นายแพทย์อภิชัยกล่าวต่อว่า การทำให้สติปัญญาดีมีหลายปัจจัย แต่จากความรู้ขององค์การอนามัยโลกสรุปว่าการพัฒนาโดยให้มีการเสริมไอโอดีนให้เพียงพอ เป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถแก้ไขปัญหาได้เกินครึ่งและเป็นวิธีที่ถูกที่สุด รวมทั้งนโยบายไอโอดีนถ้วนหน้าของกระทรวงสาธารณสุข หากประสบผลสำเร็จ ต่อไปคนไทยจะไม่ต้องกังวลว่าจะมีเกลือประเภทไหน เพราะจะมีเพียงประเภทเดียวคือเกลือไอโอดีน
                                                 ************************************** 29 พฤศจิกายน 2553
 


   
   


View 12    29/11/2553   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ