นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ผ่าตัดรักษาคนตาบอด ปรับเกณฑ์ให้ยาต้านไวรัสเอดส์รวดเร็วขึ้น สร้างโรงพยาบาลชุมชนในอำเภอเกิดใหม่ 54 แห่ง พัฒนาส้วมสะอาดในปั๊มน้ำมัน-ร้านอาหาร โครงการตรวจสุขภาพพระ ผู้นำศาสนาฟรี ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ คนพิการ ให้สิทธิประโยชน์อสม. เปิดแผนพัฒนาไอคิวเด็กไทย ยกระดับสอ.เป็นรพ.สต.ครบ 9,750 แห่ง 

วันนี้ (10 มกราคม 2554) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ว่า ในวันนี้ได้มีการพิจารณา นโยบาย แผนงาน และกิจกรรมทั้งหมดของกระทรวงสาธารณสุขที่จะให้ความสำคัญหรือเน้นย้ำเป็นพิเศษปี2554 นอกเหนือจากปกติ ทั้งเป็นนโยบาย โครงการที่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และโครงการที่มีการริเริ่มใหม่ รวมทั้งหมด 21 โครงการ ได้แก่

1.การเดินหน้านโยบายรักษาฟรีอย่างมีคุณภาพ ในปีที่ผ่านมาได้เดินไปสู่จุดของนโยบายรักษาฟรี 48 ล้านคนใช้บัตรประชาชนใบเดียว จากนี้ไปจะให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพเป็นพิเศษ มีระบบประกันคุณภาพของสถานพยาบาลทั้งหมด เดินหน้าสถาบันรับรองคุณภาพสถานบริการสุขภาพซึ่งได้จัดตั้งขึ้นแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนเน้นคุณภาพการรักษาพยาบาลและการให้บริการ เช่น การประกันคุณภาพเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะมีระบบตรวจสอบเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในสถานพยาบาลทั่วประเทศ โดยมีกลไกการสอบเทียบความแม่นยำของเครื่องมือต่างๆ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการรักษาพยาบาลฟรีตามนโยบาย เช่นการใช้ระบบผ่าตัดทางกล้องเป็นต้น ตลอดจนการดูแลบำบัดผู้ป่วยติดสารเสพติด ผู้ป่วยโรคเอดส์ เช่นจะปรับเกณฑ์มาตรฐานในการให้ยาผู้ป่วยเอดส์ให้รวดเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันกำหนดมาตรฐานจะให้ยาต้านไวรัสเมื่อพบปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิดซีดีโฟร์ (CD4) ต่ำกว่า 200 ในอนาคตจะปรับเป็นต่ำกว่า 350 ก็จะให้ยาได้ รวมถึงการให้บริการผู้ป่วยจิตเวชให้เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น

2.นโยบายเพิ่มไอโอดีนเพิ่มไอคิวจะให้ความสำคัญมากขึ้น ในเดือนมกราคมนี้จะประกาศผลสำรวจไอคิวเด็กไทยทั่วประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีการสำรวจกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดเท่าที่เคยมีการทำมา และประกาศแผนงานในการเพิ่มไอคิวเด็กไทย กำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่ชัดเจน นอกจากนั้นจะติดตามประเมินผลนโยบายการแจกไอโอดีนเม็ดในหญิงตั้งครรภ์ การออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข 4 ฉบับที่มีการบังคับให้เกลือ น้ำปลา ซ๊อสปรุงรส ซีอิ๊วต้องเติมไอโอดีน 3.นโยบายยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งในปีที่ผ่านมายกระดับแล้ว 4,010 แห่ง จะยกระดับอีก 5,740 แห่ง เพื่อให้ครบ 9,750 แห่งภายในเดือนกันยายน 25544.จะก่อสร้างโรงพยาบาลชุมชนในอำเภอเกิดใหม่ที่ยังไม่มีโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 54 อำเภอให้ครบทุกแห่ง ใช้งบของกระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่ในปัจจุบันรวม 500 กว่าล้านบาท ซึ่งจะเจรจากับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป โดยจะเริ่มสร้างตึกผู้ป่วยนอกก่อน และขยายต่อเติมตามกำลังงบประมาณที่จะได้รับต่อไป

                  

                  

5.จะตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนด้านสาธารณสุข เพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการยกระดับสุขภาวะที่ดีของประชาชน 6.นโยบายโรงพยาบาล 3 ดี จะต้องเป็นโรงพยาบาล 3 ดีที่ยั่งยืน 100 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือต้องมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทำได้ร้อยละ 95 จะทำให้ได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ 7.นโยบายลดความแออัดในโรงพยาบาล ด้วยระบบบริหารจัดการที่ดี เพื่อแก้ปัญหาความแออัด โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งจะจัดประชุมระดมสมองบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในวันที่ 28 -29 มกราคมนี้ เพื่อหาคำตอบที่เป็นรูปธรรมในการลงมือดำเนินการต่อไป 8.นโยบายลดหวานมันเค็ม ลดอ้วนลดโรคทุกหมู่บ้าน ชุมชน จะต้องเกิดขึ้นภายในปีนี้

9.นโยบายลดอบายมุขโดยเฉพาะเหล้าและบุหรี่ จะต้องมีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่นเรื่องเหล้า จะเริ่มต้นดำเนินการออกกฎหมายอย่างน้อย 5 ฉบับ กฎระเบียบอีก 2 ฉบับ รวมทั้งมาตรการอื่นๆ ในเรื่องบุหรี่จะผลักดันแผนยุทธศาสตร์ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี การแก้กฎหมายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ออกกฎกระทรวงบุหรี่ปลอดไฟไหม้ รวมทั้งจะมีประกาศฉบับใหม่อีก 2 ฉบับ 10.นโยบายสาธารณสุขเพื่อการท่องเที่ยว จะประกาศพื้นที่ดำเนินการให้ได้อย่างน้อยใน 10 จังหวัดในปี 2554 11.นโยบายส้วมสะอาด เพราะส้วมเป็นดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว เน้นพิเศษส้วมสาธารณะใน 2 พื้นที่ คือปั๊มน้ำมัน และร้านอาหาร จะกำหนดเป้าหมายชัดเจน เช่นปั๊มน้ำมันจะเน้นเส้นทางสายหลัก 8 สายและเส้นทางสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ รวมปั๊มน้ำมันในโครงการ 1,578 แห่งที่จะต้องเป็นส้วมสะอาดได้มาตรฐานของกรมอนามัย คือต้องสะอาด มีปริมาณเพียงพอและปลอดภัย 

12.นโยบายศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติหรือเมดดิคอลฮับ (Medical Hub) จะเน้น 3 เรื่องที่จะเดินหน้าทันทีในปี 2554 คือ 1.การส่งเสริมบริการด้านสุขภาพ สปาไทย นวดแผนไทย 2.การบริการด้านแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก 3.การส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่เป็นรูปธรรม ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลนั้น จะมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพทำประชาพิจารณ์ ให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป13.นโยบายพึ่งตนเองด้านวัคซีน จะขยายการผลิตจากปัจจุบันที่ผลิตวัคซีนได้ 2 ตัวเป็น 7 ตัวภายใน 10 ปีเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ หากเหลือจะส่งออกต่อไป ซึ่งจะสามารถทดแทนการนำเข้าได้ปีละ 3,000 ล้านบาท 14.โครงการตรวจสุขภาพผู้นำศาสนาฟรีร่วมกับมูลนิธิ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ ภายใต้อุปภัมภ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร โดยจะตรวจสุขภาพฟรีให้แก่พระสงฆ์สามเณรทั่วประเทศ 330,000 รูป และอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น ผู้นำศาสนาอิสลามและอื่น ๆ อีกประมาณ 54,000 คน รวมประมาณ 390,000 ราย ภายใน 3 เดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2554

                    

                    

15.การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกในสตรี โดยจะอบรม อสม. 5 แสนคนให้สามารถสอนประชาชนในการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองได้   ส่วนมะเร็งปากมดลูกตั้งเป้าหมายในปี 2554 จะตรวจให้ได้ 2.6 ล้านคน และภายใต้แผน 5 ปีจะทำให้ได้ 13 ล้านคน 16.การจัดทำแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุด้านสาธารณสุข โดยจะตั้งคณะทำงานยกร่างแผนให้มีความชัดเจน เพราะในอนาคตไทยจะก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งจะต้องมีมาตรการรองรับผู้สูงอายุในเขตเมืองที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ตามแผนงานนี้มีหลายโครงการ เช่น โครงการใส่ฟันเทียมทั้งปากฟรีแก่ผู้สูงอายุ 30,000 ราย โครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติให้กับผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันทั้งปากอีก 10,000 ราย เป็นต้น 17.การเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งเดิมความร่วมมือจะเน้นด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง แต่ในช่วงหลังเพิ่มด้านสังคม ซึ่งสาธารณสุขถือเป็นงานด้านหนึ่งของสังคม โดยตั้งคณะทำงานยกร่างแผนงานเพื่อก้าวเดินไปสู่ปีพ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้

18.นโยบายสาธารณสุขเพื่อผู้พิการ จะมุ่งเน้นการดูแลผู้พิการเป็นพิเศษโดยเฉพาะผู้พิการตาบอด ที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ เช่น จะคัดกรองนำคนตาบอดที่สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่รักษาให้สายตาดีขึ้นหรือมองเห็นได้ การอบรมการใช้ไม้เท้าขาวสำหรับคนตาบอด การอบรมภาษามือสำหรับคนหูหนวก และการดูแลผู้พิการด้านการเคลื่อนไหวซึ่งมีประมาณ 13,000 รายทั่วประเทศ  19. เดินหน้าพัฒนาการให้บริการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จะมุ่งเน้นทั้งการผลิตบุคลากร การปรับปรุงรูปแบบการให้บริการและการพัฒนายาสมุนไพรไทยใช้รักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน โดยปัจจุบันมียาสมุนไพรไทยที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 19 รายการ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการผลักดันเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติอีก 23 รายการ และประกาศใช้ภายในปี 2554 นี้จะมียาสมุนไพรไทย 42 รายการ เป็นอย่างน้อยในบัญชียาหลักแห่งชาติ และจะพัฒนายาไทยเพื่อใช้ในการรักษาโรค เช่นมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้นควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน

20. การคุ้มครองผู้บริโภค จะเน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น รวมทั้งรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน และเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เช่นปีนี้จะปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องฉลากโภชนาการให้ผู้บริโภคอ่านเข้าใจง่าย รวมทั้งฉลากมาตรฐานด้านสุขภาพเช่นลดหวาน มัน เค็ม การรณรงค์การอ่านเพื่อชีวิต รวมทั้งการฉีดวัคซีนผู้บริโภค ให้มีภูมิต้านทานไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบต่างๆ และ 21.โครงการอสม.เข้มแข็ง จะออกระเบียบว่าด้วย อสม. ที่เป็นทางการเป็นฉบับแรก เน้นบทบาท อสม.เชิงรุก และกำหนดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้อสม.เข้ามามีบทบาทเป็นกลไกสำคัญในการร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ในการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชนต่อไป

************************************** 10 มกราคม 2554



   
   


View 14    10/01/2554   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ