บ่ายวันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2554) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเยี่ยมอาการหญิงหลังคลอดชาวเวียดนามที่รับจ้างอุ้มบุญ ที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์ กรุงเทพมหานคร ว่า สำหรับรายนี้เป็นรายที่นอกเหนือจาก 13 รายที่ปรากฏเป็นข่าว โดยเป็นชาวเวียดนามเช่นเดียวกัน อายุ 31 ปีซึ่งสมัครใจรับจ้างตั้งครรภ์ จากการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้รับแจ้งว่าจะมีรายได้เมื่อคลอดแล้ว 5,500 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 100,000 กว่าบาท ระหว่างตั้งครรภ์ได้เดือนละ 100 เหรียญหรือประมาณ 3,000 – 4,000 บาท จากนั้นจะได้พิเศษอีกเดือนละ 50 เหรียญหรือประมาณ1,000– 2,000 บาท มีนายจ้างเป็นชาวไต้หวันเช่นเดียวกัน คลอดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ คลอดโดยวิธีผ่าตัดคลอด ขณะนี้เด็กมีปัญหาน้ำหนักตัวน้อย ส่งตัวไปยังอีกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อให้ออกซิเจน อาการน่าจะปลอดภัยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายที่กระทรวงสาธารณสุขต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะรับผิดชอบดูแลพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 และพระราชบัญญัติสถานพยาบาลซึ่งกรณีนี้เกี่ยวข้องกับการผสมเทียม ไม่ใช่วิธีตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ เป็นกรณีที่มีกฎหมายและประกาศของแพทยสภากำหนดไว้ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้
สำหรับกฎหมายฉบับแรกคือพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมได้ระบุไว้โดยประกาศของแพทยสภาเกี่ยวกับมาตรฐานการให้บริการในการช่วยการเจริญพันธุ์ ว่า ประการที่ 1 การผสมเทียมต้องกระทำโดยแพทย์ที่มีหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูติ-นรีแพทย์แห่งประเทศไทย ประการที่ 2 จะต้องเป็นกรณีที่คู่สมรสยินยอมและใช้ตัวอ่อนจากเซลล์สืบพันธุ์ของคู่สมรสเท่านั้น ขณะเดียวกันมีเงื่อนไขประกอบว่า 1.จะต้องไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้บริจาคเซลล์ 2.ต้องไม่มีค่าตอบแทนสำหรับหญิงผู้อุ้มท้อง และ3.หญิงที่ตั้งครรภ์แทนนั้นต้องเป็นญาติโดยสายเลือดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อป้องกันการซื้อขาย การว่าจ้าง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวนี้ ซึ่งจ้างหญิงมาอุ้มท้องแทน เลยไปไกลถึงการบังคับขู่เข็นทางการแพทย์ให้ตั้งครรภ์ บังคับกักขังไว้จนกว่าจะคลอด และเมื่อคลอดแล้วนำเด็กไปขาย ซึ่งเป็นลักษณะของกระบวนการค้ามนุษย์ และกฎหมายฉบับที่ 2 คือ พ.ร.บ.สถานพยาบาล ระบุว่าการที่สถานพยาบาลจะดำเนินการให้มีการผสมเทียมได้จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่วินิจฉัยคือ 1.กรณีผู้ทำจะต้องตรวจสอบต่อไปว่าเป็นไปตามประกาศแพทยสภาหรือไม่ ได้ขอให้เลขาธิการแพทยสภาได้เข้ามาติดตามเรื่องนี้ 2.ด้านสถานพยาบาล จะต้องมีการติดตามว่าสถานพยาบาลที่ดำเนินการผสมเทียมนี้ปฏิบัติถูกต้องตามพ.ร.บ.สถานพยาบาลหรือไม่ มีการควบคุมดูแลให้ผู้ที่กระทำดำเนินการถูกต้อง คือเป็นแพทย์ที่มีหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูติ-นรีแพทย์แห่งประเทศไทยหรือไม่ 3.ด้านบริษัทที่ดำเนินการรับจ้างจัดหาหญิงมาอุ้มบุญ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตั้งข้อหาค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติค้ามนุษย์พ.ศ.2551 และตั้งข้อหาตามกฎหมายอาญาคือกักขังหน่วงเหนี่ยว อยู่ในขั้นตอนขยายผล
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2554) ได้มอบให้นายแพทย์สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประสานงานนัดหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งดีเอสไอ ส.ต.ม. และบ้านเกร็ดตระการ ที่รับหญิงชาวเวียดนามทั้ง 13 คนไปดูแลอยู่ในขณะนี้ แพทยสภา และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มาประชุมร่วมกัน เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาที่มีความชัดเจนต่อไป
**********************24 กุมภาพันธ์ 54