นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ว่า ในการเดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำ 6ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส (GMS:Greater Mekong Subregion)ครั้งที่ 4 ที่กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ 19-20ธันวาคม 2554ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย ประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และไทย โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี  นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าคณะ จากการประชุมครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกับรัฐมนตรีสาธารณสุขใน 5 ประเทศ ว่าด้วยการปฏิบัติการร่วมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจากการเคลื่อนย้ายประชากร ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงโดยมีนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมในพิธี 

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวเป็นความริเริ่มของผู้รับผิดชอบโครงการโรคเอดส์ในแต่ละประเทศ ที่เสนอต่อธนาคารพัฒนาเอเชีย โดยได้ประชุมร่วมกันพิจารณาและเห็นชอบในรายละเอียดของบันทึกความเข้าใจฯ นี้ตั้งแต่ พ.ศ.2552จนถึงวันลงนาม รวมทั้งหมด 4ครั้ง โดยมีสาระความร่วมมือ ใน 3ประเด็น ได้แก่ 1.การสนับสนุนให้เกิดนโยบายที่เอื้อต่อการแก้ปัญหา 2.การสร้างความเข้มแข็งในการมีส่วนร่วมของชุมชน และ3.ส่งเสริมการเข้าถึงการป้องกันเอชไอวี/เอดส์ การรักษา การดูแล เพื่อช่วยเหลือกลุ่มแรงงานข้ามชาติและประชากรเคลื่อนย้าย รวมถึงชุมชนที่ได้รับผลกระทบในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีธนาคารพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี (ADB: ASIAN Development Bank) เป็นองค์กรหลักในการสนับสนุนแผนงานที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการลงนามดังกล่าว ซึ่งจะมีการกำหนดแผนปฏิบัติการร่วมกันต่อไป
 
นายวิทยากล่าวต่อว่า ประเทศไทย จะได้รับประโยชน์ในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันของทั้ง 6 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะนี้มีแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทย และได้รับอนุญาตให้ทำงานชั่วคราวตามมติคณะรัฐมนตรี ในปี 2553จำนวน 1,335,155คน ในจำนวนนี้ มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูง เนื่องจากขาดการเข้าถึงบริการด้านการป้องกัน ดูแลรักษาด้วยข้อจำกัดต่างๆ นอกจากนี้ผลจากการเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มแรงงานข้ามชาติพบมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีร้อยละ 1และป่วยด้วยโรคเอดส์เข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐจำนวน2,900คน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนโลกเพื่อการต่อสู้โรค เอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย ที่ผ่านมาไทยในฐานะประเทศสมาชิกได้มีการร่วมมือกันหลายด้าน โดยงานด้านสาธารณสุขจะอยู่ภายใต้แผนงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไทย ได้ร่วมมือและให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการฝึกอบรม การจัดระบบเฝ้าระวังโรค รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ และเอช ไอ วีแก่ประเทศสมาชิก
************************************* 21 ธันวาคม 2554


   
   


View 9    21/12/2554   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ