กระทรวงสาธารณสุข เร่งสนองพระราชดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ลดปัญหาป่วยตายของประชาชนในภาคอีสานจากโรคมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี ประกาศให้เป็นวาระภาคอีสาน รณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่กินปลาเกล็ดดิบ ปลาร้าดิบ และระดม อสม.ค้นหาผู้ป่วยจาก 4 กลุ่มเสี่ยง เพื่อส่งตัวเข้ารักษา เพิ่มโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น เผยสถิติในปี 2553 ประชาชนเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมด 58,076 ราย โดยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีสูงอันดับ 1 และกว่าครึ่งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นปัญหารุนแรงในภาคอีสาน มีอัตราป่วยและอัตราตายสูงที่สุดในโลก พบได้ 30-40 ต่อประชากร 100,000 คน ว่า ได้ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขในส่วนกลางและใน 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสปสช. ผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กทม. ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมผลักดันโครงการแก้ไขนี้ ให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และจะขอให้ประกาศเป็นวาระของภาคอีสาน เพื่อสนองพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่เสด็จไปที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ดเมื่อปี 2551 และทรงริเริ่มแนวคิดแก้ไขปัญหาดังกล่าว
จากสถิติในปี 2553 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมด 58,076 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับ และท่อน้ำดีในตับมากที่สุด 14,008 ราย เป็นชายมากกว่าหญิง 2 เท่าตัว และร้อยละ 54 อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 7,513 ราย และในปีเดียวกัน มีผู้ป่วยโรคมะเร็ง 2 ชนิดนี้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลทั่วประเทศจำนวน 40,373 ราย โดยผู้ป่วยร้อยละ 44 อยู่ในภาคอีสาน จำนวน 17,777 ราย
นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า มาตรการแก้ไขป้องกันโรคเพื่อลดอัตราป่วยและตายจากโรคมะเร็งดังกล่าวในระยะเร่งด่วนนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการ 2 เรื่องใหญ่คือ 1.ร่วมกับสปสช. โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รณรงค์ให้ความรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนใน 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีประมาณ 21 ล้านคน ไม่กินปลาเกล็ดดิบ ปลาร้าดิบ รณรงค์ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ค้นหาผู้ป่วยใน 4 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มที่เป็นชาวอีสานแต่กำเนิด กลุ่มที่ตรวจพบไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ กลุ่มที่มีถิ่นฐานบ้านเรือนใกล้ริมแม่น้ำ ลำคลอง และกลุ่มอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ชาย ซึ่งพบป่วยจากโรคดังกล่าวมากในอัตรา 200 ต่อประชากร 100,000 คน
นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า ประการที่ 2 คือการค้นหาผู้ป่วยเข้ารักษาตั้งแต่เริ่มเป็นโรคใหม่ๆโดยจะเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลชุมชนในภาคอีสานประมาณ 300 แห่ง ให้สามารถตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการต่อจาก อสม. เพื่อวินิจฉัยโรคให้ได้เร็วและส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาล (รพ.) 7 แห่ง ได้แก่ รพ.ร้อยเอ็ด รพ.ขอนแก่น รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี รพ.อุดรธานี รพ.มหาราชนครราชสีมา รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และรพ.จุฬาภรณ์ กทม. ซึ่งจะทำให้การรักษาได้ผลเกินกว่าร้อยละ 50 โอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น
ทั้งนี้ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อป้องกันแก้ไขและเป็นศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1 ชุด โดยมีนายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และติดตามผลเป็นระยะๆ เพื่อทำให้การดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆเป็นในทางเดียวกัน และประสบผลสำเร็จสูง
*******4 มีนาคม 2555
View 18
04/03/2555
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ