เพิ่มบริการสุขภาพทางเพศกลุ่มเยาวชน ปี 2556 เพิ่มงบดูแลกว่า 3,500 ล้านบาท วันนี้ (18 มีนาคม 2555) ที่ โรงแรมดิเอ็มเพลส จังหวัดเชียงใหม่ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดประชุมพัฒนาศักยภาพบุคลากรผู้ดูแลผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยเอดส์ “ฮอมกำกึ๊ด ฮอมปัญญา แก้ปัญหาเอดส์”ของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี 2555 จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 1 เชียงใหม่ หลังจากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสันป่าตอง ซึ่งได้บูรณาการแก้ไขปัญหาเอดส์อย่างครบวงจรได้ผลดี ทั้งการรักษาในโรงพยาบาล การส่งเสริมอาชีพผู้ติดเชื้อ การมีส่วนร่วมของผู้ติดเชื้อ ชุมชน วัด โรงพยาบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่นๆ รวมทั้งการบริหารจัดการยาต้านไวรัสในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล นายวิทยากล่าวว่า โรคเอดส์จัดเป็นโรคเรื้อรัง เป็นแล้วรักษาไม่หายขาด เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอดส์แล้วมากกว่า 1 ล้านคน และจำนวนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผู้ป่วยโรคเอดส์สะสมตั้งแต่ พ.ศ.2527 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ทั้งหมด 376,690 ราย เสียชีวิต 98,721 ราย โดยพบผู้ป่วยมากในกลุ่มวัยทำงานอายุระหว่าง 30-34 ปี ร้อยละ 25 ปัจจัยเสี่ยงร้อยละ 84 คือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและระดับอาชีวศึกษา มีแนวโน้มเคยมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น แต่มีแนวโน้มใช้ถุงยางอนามัยป้องกันลดลง จึงมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูงขึ้น หากไม่มีมาตรการป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนับวันผู้ติดเชื้อมีจะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในปี 2555 นี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้ 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ ได้แก่กองทุนสวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ บูรณาการ ดูแลผู้ป่วยเอดส์ร่วมกัน เพื่อให้ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง เป็นผลดีกับผู้ป่วยมากที่สุด โดยกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ทุกจังหวัด เร่งรัดควบคุมป้องกันปัญหาเอดส์ 2 เรื่องใหญ่ คือ 1.เพิ่มการป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเยาวชน กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มอื่นๆ โดยรณรงค์ส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างเป็นรูปธรรม 2.เพิ่มการเข้าถึงบริการของกลุ่มเยาวชน ในการดูแลรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จัดบริการด้านสุขภาพทางเพศ เช่น การตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ การคุมกำเนิด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติพ.ศ. 2555 -2559 “สู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์” คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ จัดบริการสุขภาพแก่ผู้ติดเชื้อ จนไม่มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ โดยปรับเกณฑ์การเริ่มให้ยาต้านไวรัสเร็วขึ้น คือระดับเม็ดเลือดขาวซีดีโฟว์ (CD4) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร และลดอคติ ไม่มีการเลือกปฏิบัติทั้งต่อผู้ติดเชื้อฯ และกลุ่มที่มีภาวะเปราะบาง สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยโรคเอดส์ ตั้งแต่เริ่มโครงการฯจนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยเอดส์ลงทะเบียนรักษาในโครงการบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค จำนวน 242,393 คน โดยในปี 2554 มีผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัส 153,214 คน ร้อยละ 90 เป็นยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐาน อีกร้อยละ 10 เป็นยาต้านไวรัสสูตรดื้อยา ในปี 2555 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้จัดงบประมาณรักษา 2,940 ล้านบาทเศษ โดยมีผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสเพิ่มขึ้นเป็น 157,600 คน ร้อยละ 94 เป็นยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐาน ที่เหลือร้อยละ 6 เป็นยาต้านไวรัสสูตรดื้อยา ส่วนในปี 2556 คาดว่าจะมีมีผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัส 181,000 คน เป็นยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐาน 163,600 ราย และเป็นยาต้านไวรัสสูตรดื้อยา 17,400 ราย ได้ตั้งงบประมาณ 3,599 ล้านบาทเศษ ทางด้านนายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสปสช. กล่าวว่า งบประมาณบริการยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยเอดส์ ที่เพิ่มขึ้น มาจากปัญหาการดื้อยา เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อเอชไอวี จะเกิดการดื้อยาต้านไวรัสง่ายกว่าเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาสูตรดื้อเพิ่มขึ้นตามเวลา และยาดังกล่าวมีราคาแพงกว่ายาพื้นฐานประมาณร้อยละ 30 จึงต้องเร่งพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการ สนับสนุนความเข้มแข็งเครือข่ายผู้ติดเชื้อในทุกพื้นที่ ให้ติดตามกระตุ้นให้ผู้ป่วยกินยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลดปัญหาเชื้อเอชไอวีดื้อยาที่ดีที่สุด ลดภาระงบประมาณของประเทศลงได้ ซึ่งผลของการจัดบริการยาต้านไวรัสฟรี แก่ผู้ป่วยโรคเอดส์ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่าผู้ป่วยรายใหม่มีชีวิตมากกว่า 12 เดือนหลังเริ่มรับยา สูงถึงร้อยละ 92 ในขณะที่เสียชีวิตภายใน 12 เดือนเพียงร้อยละ 8 และเสียชีวิตใน 24 เดือนลดลงมีเพียงร้อยละ 2 แสดงให้เห็นว่ายาต้านไวรัส ช่วยผู้ป่วยเอดส์มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นชัดเจน นายแพทย์วินัย กล่าวต่อว่า สำหรับการประชุม “ฮอมกำกึ๊ด ฮอมปัญญา แก้ปัญหาเอดส์” จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้เพื่อกระตุ้นสังคมตระหนักถึงภัยคุกคามของการระบาดของโรคเอดส์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกัน ดูแล และแก้ไขปัญหาเอดส์ได้อย่างถูกต้อง เกิดเครือข่ายเข้มแข็งของผู้ให้การดูแลรักษา ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการมีส่วนร่วมของชุมชน เครือข่าย องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และผู้ติดเชื้อ โดยมีผู้บริหาร นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านโรคเอดส์ ร่วมประชุมประมาณ 500 คน กิจกรรมในงานประกอบด้วย การมอบรางวัลหน่วยบริการที่มีผลงานเด่นด้านเอดส์ การจัดนิทรรศการงานมหกรรมต้านภัยเอดส์จังหวัดเชียงใหม่ การบรรยายพิเศษ อภิปราย เสวนา การศึกษาดูงาน การฉายหนังสั้น วิดีทัศน์ การแสดงดนตรี คอนเสิร์ต การแสดงของนักเรียน นักศึกษา กลุ่มหลากหลายทางเพศ การประกาศแนวทาง/ปฏิญญาหรือข้อสรุปร่วมกันที่ได้จากการเสวนา เชื่อมั่นว่าการประชุมครั้งนี้จะเกิดการแก้ไขปัญหาเอดส์ จังหวัดเชียงใหม่ แบบมีส่วนร่วม เพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย ปลอดการติดเชื้อใหม่ ปลอดการเสียชีวิต ปลอดการรังเกียจ ************************************************** 18 มีนาคม 2555


   
   


View 5       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ