วันนี้ (8 พฤษภาคม 2555) ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ 219 อาคารรัฐสภา 2 กทม. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยปลัดกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่ออนุรักษ์ คุ้มครอง และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรและถิ่นกำเนิดอย่างยั่งยืน  ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ ข้อมูล องค์ความรู้  งบประมาณ มีผลบังคับใช้ 3 ปี

นายวิทยากล่าวว่า ขณะนี้ตลาดโลกมีความต้องการสมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพืชสมุนไพรที่ซื้อขายในตลาดการค้าส่วนใหญ่มาจากป่าธรรมชาติ  ซึ่งประเทศไทยนับว่าเป็นป่าเขตร้อนที่มีพืชสมุนไพร ที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รู้จักคุณสมบัติและนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์รูปแบบต่างๆ ประมาณ 800-1,800 ชนิด นำมาใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาไทย บางชนิดใช้เป็นยาเดี่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤติ หรือใกล้สูญพันธุ์  เนื่องจากมีการลักลอบบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ทำเป็นพื้นที่ทำกินและเป็นที่อยู่อาศัย เป็นการทำลายแหล่งกำเนิดของสมุนไพรด้วย  ทำให้พืชสมุนไพรหลายชนิด ถูกคุกคามและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เรื่อยๆในอนาคต และสมุนไพรบางตัวยังไม่มีการศึกษา เพื่อนำมาเพาะปลูกทดแทน
ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครอง อนุรักษ์พันธุ์พืชสมุนไพรป่าให้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะการนำมาใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบัน หรือพัฒนาเป็นสารสกัดต่างๆที่ทันสมัยเพื่อใช้แก้ไขปัญหาการเจ็บป่วยหรือบำรุงสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง เกิดความมั่นคงทางยาในประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข จึงจัดทำแผนความร่วมมือว่าด้วยการอนุรักษ์ คุ้มครอง และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรและถิ่นกำเนิด พ.ศ.2555-2559 โดยบูรณาการกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เครือข่ายภาคเอกชน และประชาชน โดยพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์สมุนไพร จะห้ามไม่ให้ใครยึดครอง ปลูกหรือก่อสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือตัด โค่น แผ้วถาง เผาหรือทำลายต้นไม้  ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพไป หากมีการบุกรุกจะมีโทษตามกฎหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ด้านนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการสำรวจพื้นที่ป่าในประเทศไทย พบว่าในป่าเขา จะมีพืชสมุนไพรขึ้นไม่ต่ำกว่า 50 ชนิด ทั้งนี้แผนการอนุรักษ์ คุ้มครอง ส่งเสริมการใช้สมุนไพรและถิ่นกำเนิด พ.ศ. 2555-2559 ตั้งเป้าอนุรักษ์สมุนไพรหายาก เช่น เถาวัลย์เปรียง กำลังวัวเถลิง เจตมูลเพลิงแดง เนระพูสี ฮ่อสะพายควาย กำลังเสือโคร่ง จันทน์ขาว จันทน์แดง สบู่เลือด สมอ (ทุกชนิด) พญารากดำ และแส้ม้าทะลาย รวมทั้งสมุนไพรชนิดอื่นของแต่ละพื้นที่ และสมุนไพรที่ใช้บ่อยและกำลังอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ เช่น   กวาวเครือขาว จันทน์ขาว จันทน์แดง ฯลฯ ให้ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 50 ชนิด ใช้งบประมาณจากกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขตลอดแผนฯ ตลอดแผนฯ ดังกล่าวประมาณ 76 ล้านบาท      
 ทางด้านนายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า จนถึงขณะนี้มีพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตคุ้มครองสมุนไพรแล้ว 20แห่ง และจะขยายพื้นที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกันไปยังพื้นที่ในและนอกเขตอนุรักษ์ อีก 9 แห่งได้แก่ 1.ป่าคำหัวแฮด อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี 2.ป่าหนองแปน อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ3.ป่าดงเค็ง บ้านหนองพลาง หมู่ที่ 3 ต.ดงเค็ง อ.บ้านหนองสองห้อง จ.ขอนแก่น4.ป่าวัดเขาพนมกาว  หมู่ที่ 9 บ้านเขาพนมกาว  ต.หนองพยอม  ต.งิ้วราย  ต.หนองปล้อง  อ.ตะพานหิน  และอ.วังทรายพูน จ.พิจิตร 5.ป่าวัฒนธรรมหนองฮี อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม 6.ป่าชุมชนหนองสำแฮด บ้านม่วงไข่ บ้านเชียงเครือ บ้านคำสร้างบ่อ ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร 7.ป่าศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านนานกเค้า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร 8.ป่าชุมชนบ้านท่าสามัคคี หมู่ที่ 11 ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง 9.ป่าวัดโป่งคำ อ.สันติสุข จ.น่าน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจและศึกษาสมุนไพรในพื้นที่ เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณากำหนดรูปแบบการอนุรักษ์ คุ้มครองและส่งเสริมการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและเหมาะสมต่อไป
   ****************************  8 พฤษภาคม 2555


   
   


View 12    08/05/2555   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ