รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกนโยบายเปิดคลินิกดูแลสุขภาพเกษตรกร ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อลดภัยหรือความเสี่ยงอันตรายจากการทำงาน ทั้งจากสารเคมี อิริยาบถระหว่างทำงาน นําร่องปีนี้ทั่วประเทศ จังหวัดละ 1 แห่งเป็นต้นแบบ เผยสถานการณ์ปีที่ผ่านมา พบเกษตรไทยเสี่ยงความไม่ปลอดภัยใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว ได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน 3.7 ล้านคน ติดเชื้อฉี่หนูกว่า 2,600 ราย
วันนี้ (16 กรกฎาคม 2555) ที่ สํานักงานปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีควบคุมโรค เปิด “โครงการรณรงค์เกษตรกรปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข” จัดโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความรู้และความตระหนักให้แก่เกษตรกรในการดูแลตนเองให้ปลอดโรคและภัยที่เกิดจากการประกอบอาชีพ เช่น สารเคมีกําจัดศัตรูพืช รวมถึงโรคและภัยสุขภาพที่เกิดจากการใชชีวิตประจําวัน เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อและกระดูก
นายวิทยา กล่าวว่า รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยสุขภาพประชาชนทุกวัย ทุกอาชีพ ได้ให้ทุกหน่วยงานร่วมกันจัดระบบดูแลและพัฒนาสุขภาพให้ทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งเป็นกําลังสําคัญของประเทศในการเพิ่มผลผลิตและนํารายไดมาสู่ประเทศชาติ ข้อมูลสํานักงานสถิติแห่งชาติในปี 2554 ไทยมีประชากรอายุ 15-59 ปี และมีงานทำประมาณ 40 ล้านคน ในจำนวนนี้ทํางานในภาคเกษตรกรรมประมาณ 17 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงภัยต่อสุขภาพหลายเรื่อง ทั้งจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือจากท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง การใช้เครื่องมือต่างๆก่อให้การบาดเจ็บจากการทำงาน เชื้อโรคที่อยู่ในไร่นา เช่น โรคฉี่หนู กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายจัดบริการดูแลสุขภาพเป็นการเฉพาะ โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. เปิดคลินิกสุขภาพเกษตรกร ให้บริการตรวจรักษา ส่งเสริมสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงอันตราย มีความปลอดภัยจากการประกอบอาชีพมากขึ้น ปีนี้นำร่องทั่วประเทศ จังหวัดละ 1 แห่ง เป็นต้นแบบ และจะขยายครอบคลุมทั่วประเทศในปี 2556
ทางด้านนายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สํานักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค รายงานว่าขณะนี้เกษตรกรไทยมีความเสี่ยงและไมปลอดภัยจากการทำงานเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2เท่าตัวจากเดิมร้อยละ16ในปี 2540เป็นร้อยละ39ในปี 2550 จากการวิเคราะห์ผู้มาใช้บริการสถานบริการสาธารณสุขที่มีอาการของโรคและเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพในปี 2554 โดยสำนักระบาดวิทยา พบว่าเป็นเกษตรกรมากถึง 1 ใน 4 และมีอาชีพรับจ้างฉีดสารเคมีกําจัดศัตรูพืชสูงถึงร้อยละ 31 โรคที่เกษตรกรป่วยสูงที่สุดร้อยละ54 คือ โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ พบเฉลี่ยปีละ 1,898 ราย รองลงมาคือถูกสัตว์กัดต่อยเฉลี่ยปีละ 1,033 ราย โรคผิวหนังเฉลี่ยปีละ 855 ราย กลุ่มพิษจากพืชเฉลี่ยปีละ 176 ราย โรคปอดและทางเดินหายใจเฉลี่ยปีละ 114 ราย พิษจากสารกําจัดแมลงศัตรูพืชเฉลี่ยปีละ 66 ราย โดยมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มโรคมีมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีรายงานเกษตรกรไดรับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากการทํางาน เช่น มีดบาด กระแทก หกล้ม ปีละ 3.7 ล้านคน และติดเชื้อโรคฉี่หนู(Leptospirosis) จากการย่ำน้ำหรือทํางาน โดยไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันปีละ 2,600 กว่าราย หรือประมาณร้อยละ 62 ของผู้ป่วยทั้งหมดจำนวน 4,261 ราย และมีรายงานป่วยเป็นโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น ที่พบมากที่สุดคือโรคหัวใจและหลอดเลือด รองลงมาโรคเบาหวาน และโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่
นายแพทย์พรเทพ กล่าวต่อว่า ในการดำเนินงานคลินิกสุขภาพเกษตรกรใน รพ.สต. เน้นที่การให้ความรู้ในเรื่องอันตรายต่าง ๆ จากการทำงาน การใช้สารเคมีและการป้องกัน ประเมินความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเนื่องมาจากการทํางาน เช่น ท่าทางการทำงาน ชั่วโมงการทำงาน การยกหรือแบกของหนัก เป็นต้น มีการตรวจเลือดหาสารกำจัดศัตรูพืช ที่ใช้กันมากคือกลุ่มออการ์โนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ที่ตกค้างในร่างกาย เพื่อดูแลรักษาและติดตามสุขภาพต่อเนื่อง ตามสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
อนึ่ง ในวันนี้ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้ รพ.สต. ที่มีผลงานดีเด่นด้านการจัดบริการอาชีวอนามัยภาคเกษตรกรรมและแรงงานชุมชน 3 แห่ง รวมทั้ง อสม.และเกษตรกรดีเด่น ที่มีส่วนร่วมดำเนินงานของ รพ.สต.ได้แก่ 1.รพ.สต.หนองขนาก จ.พระนครศรีอยุธยา อสม.ดีเด่น ได้แก่ นางสาวรจนา มั่นศิลปะ และเกษตรกรดีเด่น ได้แก่ นายบัญชา พวงสวัสดิ์ 2.รพ.สต.หนองสาหร่าย จ.สุพรรณบุรี เกษตรกรดีเด่นได้แก่ นายณฤทธิ์ ภูฆัง และ 3.รพ.สต.เกาะเทโพ จ.อุทัยธานี อสม.ดีเด่นได้แก่ นางดาว บัวลําภู และเกษตรกรดีเด่นได้แก่ จ่าสิบเอก สมพงษ์ จันทร์โอ
***************************** 16 กรกฎาคม 2555