รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่และสำนักงานควบคุมโรคเขต ลงพื้นที่สอบสวนควบคุมโรคคอตีบที่อำเภอด่านซ้าย จ.เลย ดำเนินการติดตามเฝ้าระวังผู้สัมผัสที่เป็นสมาชิกในบ้าน และประชาชนในชุมชนของผู้เสียชีวิตและผู้ป่วย ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยใหม่เพิ่ม ชี้โรคนี้เป็นโรคเดิมที่พบมานานแต่ไม่บ่อยในประเทศไทย สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่บรรจุอยู่ในชุดวัคซีนพื้นฐานซึ่งฉีดให้เด็กไทยทุกคนฟรี หากป่วยและพบแพทย์เร็ว มียารักษาให้หายขาดได้

            จากกรณีข่าวพบผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยโรคคอตีบที่อำเภอด่านซ้าย จ.เลย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นั้น นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้กำชับให้กรมควบคุมโรค ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ร่วมกับทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยและสำนักงานควคุมโรคเขต เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคคอตีบโดยเร็วที่สุด โดยได้รับรายงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยว่าตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 มีผู้ป่วยทั้งหมด 4 ราย เสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ของอำเภอด่านซ้าย 3 ตำบลใน 4 หมู่บ้าน ขณะนี้ควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดแล้ว
 
นายวิทยากล่าวต่อว่า โรคคอตีบเป็นโรคเดิมที่พบมานาน แต่ไม่บ่อย และประเทศไทยสามารถควบคุมได้ เนื่องจากมีวัคซีนป้องกันโรคบรรจุอยู่ในชุดวัคซีนพื้นฐาน ฉีดให้เด็กไทยทุกคนฟรี ตั้งแต่อายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน และกระตุ้นอีก 3 ครั้งเมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง 4 ปี และ12 ปีหรือกำลังเรียนชั้นป.6 แต่อย่างไรก็ดี โรคนี้มีโอกาสเกิดได้ในกลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นจึงขอแนะนำให้พาเด็กไปรับการฉีดวัคซีนตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และต้องฉีดให้ครบตามจำนวน ซึ่งจะมีผลป้องกันไม่ให้ป่วยจากโรคนี้ หากลืมเลยเวลานัดขอให้พาไปปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ทั้งนี้ ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ตรวจสอบความครอบคลุมการได้รับวัคซีนพื้นฐานให้ได้ 100 เปอร์เซนต์
 
ด้านนายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคคอตีบ (Diphtheria) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินทายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คอรีนแบคทีเรียม ดิพทีเรีย (Corynebacterium Diphtheria) เชื้อโรคจะอยู่ในลำคอของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา และติดต่อทางการไอจาม อาการป่วยจะปรากฎหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-5 วัน โดยจะมีไข้ต่ำๆคล้ายไข้หวัด และมีไอเสียงก้อง เจ็บคอ เบื่ออาหาร กลืนลำบากลักษณะพิเศษคือจะมีแผ่นเยื่อสีขาวปนเทาติดแน่นที่ทอนซิลทั้ง 2 ข้างและลิ้นไก่ ซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อเยื่อถูกทำลายจากพิษเชื้อโรคทำให้เนื้อตาย ในรายที่มีอาการรุนแรงจะทำให้ทางเดินหายใจตีบตัน หายใจลำบาก กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และปลายประสาทอักเสบทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต อาจเสียชีวิตได้
 
นายแพทย์พรเทพกล่าวต่อว่า ในการป้องกันโรคคอตีบประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่พบผู้ป่วยขอให้ป้องกันตัวเอง โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคนแออัดหนาแน่น ยึดหลักกินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือ หากป่วยเป็นไข้หวัดให้คาดหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปติดคนอื่น ส่วนผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยขอให้นำข้าวของเครื่องใช้ของผู้ป่วย เช่นแก้วน้ำ จาน ช้อน ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ทำความสะอาดโดยซัก ล้างและนำไปต้มฆ่าเชื้อโรค แต่หากประชาชนมีอาการป่วยดังที่กล่าวมา ขอให้ไปพบแพทย์ทันทีเพื่อให้การรักษาอย่างรวดเร็ว ก็จะป้องกันการเสียชีวิตได้ เนื่องจากโรงพยาบาลทุกแห่งมียาปฏิชีวนะรักษาและใช้ได้ผลดี

 

          ทางด้านนายแพทย์วิวรรธน์ ก่อวิริยกมล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย กล่าวว่า พื้นที่อำเภอด่านซ้ายที่พบผู้ป่วยมี 3 ตำบลใน 4 หมู่บ้าน ได้แก่ ต.ด่านซ้ายพบที่หมู่ 1 ต.กกสะท้อนพบที่หมู่ 6 หมู่ 7 และต.อีปุ่มพบที่หมู่ 9 ขณะนี้ทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วได้เข้าควบคุมการแพร่ระบาดทุกพื้นที่แล้ว มีการระดมให้วัคซีนในกลุ่มประชากรอายุมากกว่า 15 ปี- 45 ปี ส่วนในกลุ่มเด็กแรกเกิด - 15 ปีให้ตรวจสอบประวัติการให้วัคซีนเพื่อดำเนินการฉีดให้ได้ 100 เปอร์เซนต์ และติดตามเฝ้าระวังผู้สัมผัส 3 กลุ่ม ได้แก่ สมาชิกในบ้าน ประชาชนในชุมชน และเจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เสียชีวิตและผู้ป่วย และเฝ้าระวังอาการไข้เป็นเวลา 15 วัน หากพบให้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายซึ่งจัดห้องแยกไว้เป็นการเฉพาะ ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยใหม่เพิ่มและให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสิรมสุขภาพตำบลและอสม.ค้นหาผู้ป่วยที่มีไข้ ไอ เจ็บคอทุกวัน หากพบอาการน่าสงสัยให้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย ขณะเดียวกันได้กำชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดเลย เฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมด้านการรักษา และตรวจสอบการให้วัคซีนป้องกันคอตีบให้ได้ 100 เปอร์เซนต์ 

 

*************************** 18 กรกฎาคม 2555


   
   


View 12    18/07/2555   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ