ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ห่วงกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 600,000 คน พบรอบ 24 ปีมานี้ แนวโน้มติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 คาดการณ์อีก 12 ปีข้างหน้าจะนำหน้ากลุ่มเสี่ยงอื่น และมีงานวิจัยพบว่ากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หากติดเชื้อเอชไอวีจะเสี่ยงเป็นมะเร็งทวารหนักจากเชื้อไวรัสเอชพีวีสูงกว่ากลุ่มอื่น แนะสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกช่องทาง ทั้งออรัลเซ็กซ์ ทวารหนัก และตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีปีละ 2 ครั้ง หากรู้เร็วรักษาเร็วความเสี่ยงเป็นมะเร็งทวารหนักจะลดลง โรคแทรกซ้อนลดลง
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก (World AIDS Day) โดยปีนี้กำหนดประเด็นรณรงค์ว่าเอดส์ลดให้เหลือศูนย์ได้ (Getting to Zero) มุ่งสู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์ 3ประการร่วมกันภายในปี 2559คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่มีการเสียชีวิต จากเอดส์ และไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วยผู้ติดเชื้อเอดส์ คาดการณ์ว่าในปี 2555 ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์สะสมรวม 1,157,589คนเสียชีวิต 695,905คน ยังมีชีวิตอยู่ 464,414คน และมีผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยเอดส์รายใหม่9,473คน กว่าร้อยละ 80ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ ร้อยละ 62อยู่ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย พนักงานขายบริการทางเพศ และผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด ที่น่าห่วงคือ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งคาดประมาณว่ามีประมาณ 600,000 คน จากชายไทยทั้งหมด 32 ล้านกว่าคน เนื่องจากพบว่าในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ พ.ศ.2530 -2554 มีแนวโน้มการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 และคาดการณ์ในอีก 12 ปีข้างหน้าคือในพ.ศ.2567 กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย จะมีอัตราการติดเชื้อ เอชไอวีสูงกว่ากลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น กลุ่มหญิงบริการ กลุ่มฉีดสารเสพติดทางเส้นเลือด
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมีแนวโน้มป่วยเป็นมะเร็งทวารหนักสูงขึ้น จากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและติดเชื้อไวรัสเอชพีวีที่อยู่ที่อวัยวะเพศชาย เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณทวารหนักมีลักษณะคล้ายกับบริเวณปากมดลูก จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งที่ทวารหนักเช่นเดียวกับที่เกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง โดยการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้ป่วยเอชไอวีมีอัตราเสี่ยงเป็นมะเร็งทวารหนักสูงกว่ามะเร็งปากมดลูก และโอกาสเกิดมะเร็งทวารหนักจะเพิ่มจาก 0.8 ต่อแสนประชากรเป็น 35 ต่อประชากรแสนคนในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หากติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วยโอกาสเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว และหาก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน (CD4 T-cell) ลดลง จะมีแนวโน้มเกิดความผิดปกติที่เซลล์ทวารหนักสูงขึ้น
ด้านแพทย์หญิงรสพร กิตติเยาวมาลย์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาวิชาการ กลุ่มบางรักโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ของศูนย์วิจัย โรคเอดส์ สภากาชาดไทย ระหว่างมกราคม 2550-เมษายน 2551จำนวน 174 คน พบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 118 คน หรือร้อยละ 67.8 และพบว่ามีเซลล์ทวารหนักผิดปกติถึง 40 คน หรือร้อยละ 33.9 ดังนั้นวิธีที่ดีสุดคือการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อทั้งเอชพีวีและเอชไอวี โดยขอให้กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
ขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกช่องทาง เช่น ออรัลเซ็กซ์ หรือทวารหนัก เป็นต้น การล้างอวัยะเพศหรือการสวนล้างทวารหนักก่อนมีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อโรค หรือป้องกันการติดเชื้อได้ สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงขอให้ไปรับ การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หากรู้เร็วรักษาเร็วความเสี่ยงเป็นมะเร็งทวารหนักและ โรคแทรกซ้อนจะลดลง โดยสามารถโทรขอรับคำปรึกษาก่อนเจาะเลือดได้ที่สายด่วน 1663 สภากาชาดไทยและมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ทุกวัน เวลา 10.00 – 20.00 น.
นอกจากนี้ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่ติดเชื้อเอชไอวี แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งทวารหนัก ทุก 1 ปี ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวีให้ตรวจทุก 3 ปี ขณะนี้เปิดให้บริการ 2 แห่ง ที่กลุ่มบางรักโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ซึ่งราคาตรวจ คัดกรองเท่ากับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มีวิธีการตรวจที่ง่าย ไม่เจ็บ หากตรวจพบเร็ว ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก มีโอกาสหายขาดและรอดชีวิตเพิ่มขึ้น
******************************* 1 ธันวาคม 2555