กระทรวงสาธารณสุข เผยข่าวดีผู้ป่วยโรคเอดส์ ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ได้แล้ว 2 รายการ ได้แก่ยาเม็ดอีฟาไวเรนซ์ ใช้ในผู้ป่วยดื้อยา และยาเม็ดผสมโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ สำหรับผู้ใหญ่ และเด็ก ราคาถูกกว่านำเข้าต่างประเทศ 3 เท่าตัว ประหยัดงบประมาณประเทศได้จำนวนมาก
นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นับตั้งแต่พบผู้ป่วยเอดส์ไทยรายแรก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์สะสมประมาณ 1,157,589 คน ในจำนวนนี้ยังมีชีวิต 464,414 คน และคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ 9,473 คน โดยร้อยละ 62 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มพนักงานขายบริการทั้งชายและหญิง และผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา รัฐบาลได้บูรณาการดูแลผู้ป่วยทั้ง 3 กองทุนเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งมีผู้ติดเชื้อผู้ป่วยได้รับยาทั้งสิ้น 225,272 ราย ประกอบด้วยสิทธิโครงการ 30 บาท จำนวน 148,357 ราย สิทธิประกันสังคม 46,114 ราย สิทธิสวัสดิการข้าราชการ 12,059 ราย และอื่นๆ 18,742 ราย และมีนโยบายให้ตรวจเลือดโดยสมัครใจฟรีปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้รู้สถานการณ์ติดเชื้อของตนเอง และเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างเร็วหากพบว่าติดเชื้อ เพื่อลดปริมาณไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น
“ขณะนี้มีข่าวดีจากองค์การเภสัชกรรม สามารถผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ 2 รายการ ไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศแล้ว ได้แก่ ยาเม็ดอีฟาไวเรนซ์ 600 มิลลิกรัม (Efavirenz 600 mg tablet) ซึ่งใช้ในผู้ป่วยที่ดื้อยาสูตรแรกและยาเม็ดผสมโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ 200/50 มิลลิกรัม (Lopinavir/Ritonavir 200/50 mg) สำหรับผู้ใหญ่ และขนาด 100/25มิลลิกรัม ใช้สำหรับผู้ป่วยเด็ก เป็นยาใช้ในผู้ป่วยดื้อยาต้านไวรัสเอดส์ขนานแรก ซึ่งมีประมาณ 10,000-20,000 ราย ราคาถูกกว่ายานำเข้าต่างประเทศถึง 3 เท่าตัว จะช่วยประหยัดงบประมาณประเทศได้จำนวนมาก” นายแพทย์ประดิษฐกล่าว
ทางด้านนายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมกล่าวว่า ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ องค์การฯได้มีการวิจัยและพัฒนายาเม็ดอีฟาไวเรนซ์ 600 มิลลิกรัม (Efavirenz 600 mg tablet) ใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยาเนวิราพีน ขณะนี้อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีกำลังการผลิตได้เดือนละ 30,000 - 40,000 ขวด (ขวดละ 30 เม็ด) และยาตัวที่ 2 ได้แก่ ยาเม็ดผสมโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ขนาด 200/50 มิลลิกรัม สำหรับผู้ใหญ่ และขนาด 100/25มิลลิกรัม ใช้สำหรับผู้ป่วยเด็ก โดยยาเม็ดผสมโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ขนาด 200/50 มิลลิกรัม ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว มีกำลังการผลิตเดือนละ 20,000 ขวด (ขวดละ 120 เม็ด ) ซึ่งได้เริ่มผลิตแล้ว ส่วนยาเม็ดอีฟาไวเรนซ์ 600 มิลลิกรัม คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เป็นต้นไป
นอกจากนี้องค์การฯยังได้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตยาเม็ดทีโนโฟเวียร์ขนาด 300 มิลลิกรัม (Tenofovir 300 mg tablet) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสอยู่ในสูตรยาสูตรแรกให้ผู้ป่วยกิน โดยพัฒนาให้กินง่ายขึ้น จากเดิมกินวันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ก็เหลือกินเพียงวันละ 1 เม็ดตอนเช้าเท่านั้น ทำให้ลดปัญหาการดื้อยาจากการลืมกินยาได้
*********************9 ธันวาคม 2555