รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 และ  10 และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ เฝ้าระวังการเจ็บป่วยจากละอองหมอกควัน ตั้งแต่มกราคม – เมษายน 2556  เน้น 4 กลุ่มโรคสำคัญอาทิ โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ  ย้ำเตือน 7 กลุ่มเสี่ยง อาจป่วยง่ายกว่าคนทั่วไป เผยจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยจากหมอกควัน  และได้ให้อสม.รณรงค์ประชาชนงดเผาป่า เผาหญ้า/วัชพืช  หรือขยะ

      นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมาตรการรองรับผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน ในปี 2556 ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 และ 10 เตรียมความพร้อมเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยได้ประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 9 จังหวัดได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และ ตาก เพื่อติดตามเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ไปพร้อมๆกันกับการแก้ไขปัญหาจากภัยหนาวอย่างต่อเนื่อง

        พร้อมกันนี้ได้สั่งการโรงพยาบาลทุกระดับที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จัดเตรียมเครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ ยาประจำห้องฉุกเฉินต่างๆ  เพื่อให้บริการประชาชนที่เจ็บป่วยได้อย่างทันท่วงที มีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา ให้แต่ละพื้นที่เตรียมทีมสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ทันทีเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับหมอกควัน  เพื่อดำเนินการควบคุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลดผลกระทบเร็วที่สุด และขอความร่วมมือ อสม.รณรงค์ประชาชนในหมู่บ้านงดเผาป่า เผาหญ้า/วัชพืช หรือขยะ เพื่อลดมลพิษในอากาศ

          ทั้งนี้ ผลการเฝ้าระวังการเจ็บป่วยในโรงพยาบาล 22 แห่งในพื้นที่ 8 จังหวัดได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ และพะเยา ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2555 – 5 มกราคม 2556 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวน 17,219 ราย ส่วนใหญ่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัด ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวตามปกติ   ยังไม่พบความผิดปกติจากปัญหาหมอกควัน        

         ทางด้านนายแพทย์ณรงค์  สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า มลพิษจากหมอกควันที่เกิดจากการเผาป่า  เผาขยะ เผาวัชพืช  จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพใน 4 กลุ่มโรคสำคัญได้แก่ 1.กลุ่มโรคทางเดินหายใจ 2.กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด 3.กลุ่มโรคตาอักเสบ และ4.กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ  โดยผลกระทบต่อสุขภาพจะขึ้นกับระยะเวลาการสัมผัส อายุ ความต้านทานแต่ละบุคคล ความเข้มข้นของมลพิษ ประวัติการป่วยเป็นโรคปอดหรือโรคหัวใจและอื่นๆ อาการที่ปรากฏเริ่มตั้งแต่ขั้นเล็กน้อยจนถึงรุนแรง ได้แก่ แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล คอแห้ง ระคายคอ ไอ หายใจติดขัด เหนื่อยง่าย และแน่นหน้าอก  

            นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า   กลุ่มที่มีความเสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าคนทั่วๆไป มี 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเด็ก 2.หญิงตั้งครรภ์ 3.ผู้สูงอายุ 4.ผู้ป่วยโรคหอบหืด 5.ผู้ป่วยโรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง 6.ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และ 7.ผู้ป่วยโรคหัวใจ  ผู้ป่วย 7 กลุ่มเสี่ยงนี้ควรสังเกตอาการของตนเองและสำรองยาให้เพียงพอ จำกัดเวลาในการออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรง เมื่อเริ่มมีอาการให้รีบปรึกษาแพทย์ จึงขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสูดละอองหมอกควัน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานคือเกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร  เพื่อลดการสัมผัสกับฝุ่นหรือมลพิษจากหมอกควัน ป้องกันการสูดละอองหมอกควันเข้าปอด หากมีอาการผิดปกติ เช่นแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม แสบตา ขอให้รีบไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน           

********************* 27 มกราคม 2556



   
   


View 14    15/03/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ