รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้มีการทำสมาธิในสถานพยาบาลทุกแห่ง ทั้งผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้จิตใจผ่อนคลาย   เพิ่มภูมิต้านทานโรค พร้อมเชิญชวนชาวไทยเริ่มต้นชีวิตดีด้วยการทำสมาธิ ใช้วันมาฆบูชาเป็นฤกษ์งามยามดีเริ่มต้น

            นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยกำลังเข้าสู่กระแสวัตถุนิยมอย่างมาก ชีวิตมีแต่ความเร่งรีบ เกิดความกดดันในชีวิตประจำวันจากปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และปัญหาครอบครัว ทำให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียดสูง หากประชาชนไม่สามารถปรับตัวและสภาพจิตใจให้รับสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต อาจกลายเป็นคนที่มีความเครียดสูงตลอดเวลา ส่งผลต่อร่างกายทำให้เกิดโรคเรื้อรัง และปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

             นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า เนื่องในวันมาฆบูชานี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือวันพระใหญ่ พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะไปร่วมกันทำบุญตักบาตร รับศีล ฟังธรรมตามวัดต่างๆ กระทรวงสาธารณสุขขอเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มวัย ใช้ฤกษ์ดีวันมาฆบูชานี้เป็นวันเริ่มการฝึกทำสมาธิ เนื่องจากการทำสมาธิเป็นการดูแลสุขภาพด้วยวิธีหนึ่ง เป็นเทคนิคของการผ่อนคลายความเครียดที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ใช้แก้ปัญหาได้ดี ลึกซึ้ง สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทย เพราะเมื่อจิตใจสงบปราศจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน ซ้ำซาก จะทำให้เกิดสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ลดอาการวิตกกังวล ความเศร้าโศก และความโกรธได้ หากทำสมาธิเป็นประจำ จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเช่น ระบบทางเดินหายใจ การเผาผลาญพลังงาน ความดันโลหิต และคลื่นสมอง ทำงานเป็นปกติ จิตใจเบิกบาน อารมณ์เย็น สมองแจ่มใส ไม่เครียด

             นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้โรงพยาบาลทุกระดับ ใช้เสียงตามสายประชาสัมพันธ์วิธีการฝึกสมาธิขั้นพื้นฐานง่ายๆ ให้แก่ประชาชนที่มารับบริการทั้งผู้ป่วยและญาติ รู้จักวิธีการทำสมาธิระหว่างรอรับบริการ ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ขณะนี้มีโรงพยาบาลศูนย์  โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนดำเนินการแล้วร้อยละ 65  นอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากความเครียดเช่น ไมเกรน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากเมื่อร่างกายมีความเครียดจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน หลอดเลือดแดงจะเกิดการเสื่อมสภาพ อาจทำให้หลอดเลือดแตกหรือตีบตัน โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง นอกจากนั้น ยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เกิดปัญหาหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย และเสียชีวิตได้

         ทั้งนี้ การทำสมาธิจะทำให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ช่วยให้ร่างกายสดชื่นมีภูมิต้านทานโรค จากผลวิจัยทางการแพทย์พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีการฝึกทำสมาธิโดยการหายใจช้าและลึก วันละประมาณ 15 นาที ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน ค่าความดันโลหิตลดลงมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกทำสมาธิ กระทรวงสาธารณสุขจึงสนับสนุนให้คนไทยทุกคน หันมาฝึกการทำสมาธิและควรทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เริ่มจากวันละ 5 นาที เพิ่มเป็น 10 นาทีในวันต่อไป และเพิ่มเป็น 15 นาทีตามลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ

************************************ 25 กุมภาพันธ์ 2556

 



   
   


View 12    25/02/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ