วันนี้ (11 มีนาคม 2556) เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ประดิษฐ  สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  เป็นประธานพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อผลักดันยาจากสมุนไพรเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ” ระหว่างนายแพทย์สมชัย  นิจพานิช  อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก  นายแพทย์บุญชัย  สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และนายแพทย์นิพนธ์  โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  โดยความร่วมมือในครั้งนี้ทั้ง 3 หน่วยงาน จะร่วมกันพัฒนายาสมุนไพรให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ โดย อย.ทำหน้าที่ร่างมาตรฐานการผลิตยาสมุนไพรเพื่อรับประกันคุณภาพขั้นตอนการผลิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบ เพื่อดูสาระสำคัญในสมุนไพร และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ดำเนินการด้านวิจัยสมุนไพร เพื่อแสดงศักยภาพของไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในพ.ศ.2558  สามารถขยายผลทางเศรษฐกิจได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีและใช้ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักมากขึ้น

              นายแพทย์ประดิษฐ  สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมคณะร่วมแถลงข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายว่าภายในทศวรรษต่อจากนี้ไป คนไทยทุกคนจะมีสุขภาพแข็งแรงเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างยั่งยืน  และให้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ให้เหมาะสม และผลักดันให้มีการใช้สมุนไพรมากขึ้น เพื่อทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งไทยนำเข้ายาจากต่างประเทศถึงร้อยละ  75  โดยต้องทำให้องค์ความรู้สมุนไพรเป็นมาตรฐานก่อน สร้างความเข้าใจประชาชนว่า ยาที่มาจากสมุนไพรเป็นที่ยอมรับของแพทย์แผนปัจจุบันและใช้ได้ผล  ไม่ได้ไปบังคับแพทย์ว่าให้ใช้ให้ได้ร้อยละ 10 หรือ 20 เป็นอย่างน้อย    ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนประเมินผลว่ายาสมุนไพรที่บรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วจำนวน 71 รายการ มีการใช้มากน้อยเพียงใด  และสาเหตุที่แพทย์ไม่ใช้ยาสมุนไพร  เป็นเพราะแพทย์ไม่เชื่อถือที่มาของยา  หรือเพราะยามีปริมาณไม่เพียงพอ  หรือไม่เชื่อในสรรพคุณยา  ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นข้อบกพร่องของระบบภายใน เพราะที่ผ่านมาเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลจะต้องทำ แต่ยังไม่มีระบบการประเมินผลที่ชัดเจน 

                นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า การผลักดันสมุนไพรครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนนโยบายเมดิคัลฮับ ของรัฐบาล   โดยจะคัดเลือกสมุนไพรเป็นโปรดักส์แชมเปี้ยนขึ้นมาเช่น  แต่ละปีไทยมีการนำเข้าสารสกัดจากใบบัวบกเพื่อใช้ทำเครื่องสำอางถึงปีละ 20,000 ล้านบาท หากมีการสนับสนุนส่วนนี้ในเชิงธุรกิจ ก็จะเป็นการลดการเสียดุลการค้าของไทยได้มาก และสร้างอาชีพให้กับคนไทยด้วย  แต่ไม่ใช่สนับสนุนให้ปลูกอย่างเดียว  จะต้องพัฒนาถึงขั้นสกัดสารเคมีสำคัญตัวนั้นๆออกมา เพื่อไปทำส่วนประกอบของเครื่องสำอางต่างๆ  ซึ่งต้องอาศัยการผลักดันทุกรูปแบบ ในอนาคตเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว คาดหวังว่าประชาชนจะมีการใช้สมุนไพรที่ได้มาตรฐาน และไม่ใช่ยาทางเลือก  แพทย์ทุกคนใช้ยาดังกล่าวรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยได้เช่น ไอ เจ็บคอ เป็นหวัด ปวดท้อง ปวดหลัง ซึ่งปกติแพทย์กว่าร้อยละ 75 แพทย์ รักษาอาการป่วยตามอาการอยู่แล้วเช่น ปวดหัวให้กินพาราเซตามอล  ปวดท้องก็ให้กินยาลดการบิดตัวของลำไส้ เจ็บคอก็ให้ยาละลายเสมหะ สมุนไพรไทยก็มีฤทธิ์เหล่านี้เช่นกัน  รวมถึงใช้ยาปฏิชีวนะในรายที่จำเป็นเท่านั้น หากเป็นโรคหนักๆเช่น มะเร็ง เชื่อว่าสารจากสมุนไพรหลายๆตัวมีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้รักษา แต่ยังอยู่ในขั้นวิจัยอยู่ ดังนั้น จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มแพทย์ ในการใช้สมุนไพรรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้น และไม่มองว่าสมุนไพรเป็นแค่ทางเลือก ได้เร่งให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯเร่งผลักดันให้เป็นมาตรฐานการรักษาต่อไป

             ทั้งนี้ในปี 2556-2560 กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดเป้าหมายบรรจุยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติอย่างน้อยร้อยละ 10 ของรายการยาทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติรวมทั้งสิ้น 878 รายการ  โดยรายการยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติควรมีจำนวน 87 รายการ   ขณะนี้บรรจุแล้ว  71 รายการ คิดเป็นร้อยละ8.09  ซึ่งการเพิ่มรายการยาจากสมุนไพรเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ จะเป็นอีกทางเลือกเพิ่มขึ้นของแพทย์ผู้สั่งยาในการรักษา หรือส่งเสริมสุขภาพแบบผสมผสานแก่ประชาชน และกระตุ้นให้เพิ่มมูลค่าการใช้ยาจากสมุนไพรมากขึ้น เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของชาติ ลดการพึ่งพายาจากต่างประเทศได้

                 นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่ออีกว่า ในปีนี้พบว่ามี 11 ชนิดที่น่าจะมีศักยภาพและมีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถนำมาวิจัยต่อยอด พัฒนาเป็นยาจากสมุนไพรที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับสามารถนำมาบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติได้ ได้แก่  1.พริก  2.ใบฝรั่ง 3. ขมิ้นชัน  4. บัวบก 5. พรมมิ 6. ว่านชักมดลูก 7.กวาวเครือขาว  8.กระชายดำ  9.ขิง   10.ปัญจขันธ์ และ11.หม่อน  ซึ่งพืชเหล่านี้มีข้อมูลเบื้องต้นที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็นยา สำหรับรักษาอาการหรือโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขได้ 

              ทางด้านนายแพทย์สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่าในปี 2555 มูลค่าการใช้ยาจากสมุนไพรในบัญชียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศมีประมาณ 363 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 1.82 ของการใช้ยาทั้งหมด  ยาสมุนไพรที่ประชาชนนิยมใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ 1.ขมิ้นชันรักษาอาการของระบบทางเดินอาหาร แน่นท้องจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ  2.ไพลใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดบวม ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก  และ3.ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาอาการของระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการหวัด เจ็บคอ ทั้งนี้ในการพัฒนาสมุนไพร ได้ตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วยนักวิชาการจากทั้ง 3 หน่วยงาน นักวิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในการสนับสนุนข้อมูลและคัดเลือกสมุนไพรที่จะวิจัยและพัฒนาต่อยอด โดยจะร่วมกันจัดทำแผนการวิจัยตามขั้นตอน เพื่อให้สมุนไพรที่น่าเชื่อถือ และเร่งผลักดันบรรจุเพิ่มเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติอย่างน้อยอีก 15 รายการภายใน 3 ปี เพื่อนำมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชนอย่างแพร่หลาย ทั้งในโรงพยาบาล และส่งเสริมให้จำหน่ายในร้านขายยาต่อไปในอนาคต

***********************************  11 มีนาคม 2556



   
   


View 14    11/03/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ