กระทรวงสาธารณสุข เผยเด็กไทยอายุ 0-18 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติกเกือบ 2 แสนคน แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 10 ปี   เร่งจัดระบบบริการแก้ไข  โดยในปีนี้ให้คลินิกสุขภาพเด็กดีในสถานพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง ตรวจคัดกรองหาเด็กที่มีพัฒนาการภาษา สังคม และพฤติกรรมผิดปกติ  และตั้งคลินิกพัฒนาการเด็กในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปรวม 833 แห่ง บำบัดและกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการให้เร็วก่อนถึงอายุ 6 ขวบ ชี้ได้ผลดี  โดยเด็กออทิสติกร้อยละ 40 มีไอคิวปกติ ในจำนวนนี้ร้อยละ 10 มีความสามารถพิเศษ แนะสัญญาณเตือนโรคนี้ หากพบเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบมีอาการ ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว ให้รีบพาไปพบแพทย์         

วันนี้ (2 เมษายน 2556) ที่โรงแรมทีเค พาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม.นายแพทย์ชลน่าน  ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์  อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดงานรณรงค์วันออทิสติกโลก (World Autism Awareness Day) และการประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดทำแนวทางการดูแลบุคคลออทิสติกแบบบูรณาการ เนื่องด้วยสหประชาชาติประกาศให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็นวันออทิสติกโลก ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต โรงพยาบาลยุวประสารทไวทโยปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย)จัดงาน “ภาคีร่วมใจ เปิดโลกต่างใบ  เข้าใจออทิสติก”รณรงค์ให้ประชาชนและสังคมได้รู้จักเข้าใจภาวะออทิสติกมากขึ้น และจัดระบบการดูแลค้นหาเด็กที่มีภาวะเสี่ยงให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้เร็วขึ้น และพัฒนาศักยภาพจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เรียนหนังสือและประกอบอาชีพได้   
 
นายแพทย์ชลน่านกล่าวว่า โรคออทิสติก ไม่ใช่โรคปัญญาอ่อน  แต่เป็นโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางสมองที่ล้าช้า 3 ด้านคือด้านสังคม ภาษาและพฤติกรรม พบตั้งแต่กำเนิด สังเกตพบได้ก่อนเด็กอายุ 3 ขวบ  จากการติดตามสภาพปัญหาในระยะ 10 ปีมานี้ พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมากทั่วโลก เป็นปัญหาเร่งด่วนของพัฒนาการล่าช้าของเด็กที่ต้องเร่งแก้ไข  ผลสำรวจระบาดวิทยาของโรคนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อปี 2547 พบความชุกร้อยละ 0.1 ในเด็กอายุ 0-5 ปี  ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกพบความชุกโรคออทิสติกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในสหรัฐอเมริกาปี 2553 พบความชุก 1 ต่อ 88   ซึ่งคาดว่ามีเด็กไทยอายุ 0-18 ปี มีอาการออทิสติกประมาณ 188,860 คน พบได้ทั้งคนจนและคนรวย แต่ปัญหาที่ผ่านมาพบว่า เด็กที่ป่วยเข้าถึงบริการได้น้อยมากประมาณร้อยละ 15  เนื่องจากลักษณะเด็กกลุ่มนี้ มีหน้าตาน่ารักเหมือนเด็กปกติทั่วไป ไม่มีลักษณะหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ  แต่สื่อสารไม่ได้  ประชาชนจึงเข้าใจว่าเป็นปัญญาอ่อนและเลี้ยงดูกันเอง ไม่ได้พาไปพบแพทย์  ทั้งๆที่โรคนี้รักษาได้  และปัจจุบันมีเด็กออทิสติกที่ประสบผลสำเร็จ เป็นแพทย์ วิศวกร และมีอยู่ในเกือบทุกวิชาชีพ          
 
นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจัดบริการใกล้บ้านที่สุด  โดยตั้งคลินิกส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าและเด็กออทิสติกในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัดรวม 833 แห่ง   โดยให้สถานบริการในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศที่มีประมาณ 10,583 แห่ง ตั้งแต่โรงพยาบาลศูนย์ ลงไปจนถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล  เพิ่มการตรวจคัดกรองหาภาวะออทิสติกในคลินิกสุขภาพเด็กดี (Well child clinic) ซึ่งให้บริการฉีดวัคซีนและติดตามพัฒนาการเด็กหลังคลอดทุกคนจนถึงอายุ 5 ปี โดยให้ตรวจเมื่อเด็กอายุ 1 ขวบครึ่งขึ้นไป เนื่องจากหากตรวจพบตั้งแต่ช่วง 2 ขวบปีแรก จะทำให้ผลการรักษาดีมาก แม้ไม่หายขาดแต่เด็กจะมีพัฒนาการด้านต่างๆดีขึ้น ช่วยเหลือตนเองได้ เข้าโรงเรียนได้ตามวัย ตั้งเป้าให้ครอบคลุมเด็กที่มีปัญหาอย่างน้อยร้อยละ 70
 
ทางด้านนายแพทย์วชิระ  เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า โรคออทิสติกเป็น 1ใน 4 ของโรคทางจิตเวชในเด็กที่กรมฯมีนโยบายเพิ่มการเข้าถึงบริการฯ มักพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง 4 เท่า  เด็กกลุ่มนี้จะต้องได้รับบริการคัดกรองหาความผิดปกติและบำบัดรักษา กระตุ้นพัฒนาการ และการปรับพฤติกรรม อย่างมีมาตรฐาน ซึ่งเด็กออทิสติกมีความผิดปกติทางภาษาและสังคม จะแตกต่างกันที่ไอคิว(IQ)  โดยพบว่าร้อยละ 40 มีไอคิวปกติใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติในจำนวนนี้ร้อยละ 10 เป็นอัจฉริยะในบางด้าน เช่น การวาดภาพ หรือเล่นดนตรี  อีกร้อยละ 20 มีไอคิวต่ำระดับน้อยถึงปานกลาง (50-69) เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนร่วมและฝึกอาชีพได้ อาจมีปัญหาพฤติกรรมร่วมด้วย   ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 40 มีไอคิวต่ำกว่า 50 เป็นเด็กที่ชอบแสดงอาการก้าวร้าวแบบรุนแรง ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง
 
ผู้ปกครองสามารถสังเกตพบอาการออทิสติกได้ก่อนที่เด็กจะมีอายุ 3 ปี หรือเริ่มสังเกตอาการได้ชัดเจนเมื่ออายุประมาณ 1 ปีครึ่งขึ้นไป  อาการหลักๆ คือพัฒนาการช้าใน 3 ด้านเช่น 1.ด้านสังคม เด็กจะไม่ยอมสบตา ไม่ชอบมองหน้าคนอื่น ไม่สนใจมองตามเมื่อเราเรียกชื่อ ไม่สนใจผู้อื่น  ไม่ชี้นิ้วสั่งหรือบอกเมื่อต้องการของที่อยากได้  2.ด้านภาษาเช่น เริ่มพูดได้ช้ากว่าเด็กปกติ หรือพูดได้แต่ไม่เป็นภาษา ฟังไม่รู้เรื่อง ชอบพูดคำเดิมๆซ้ำๆทั้งวัน  และ3.ด้านพฤติกรรมเช่น ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว  มีพฤติกรรมซ้ำๆที่ไม่เหมาะสม ชอบมองวัตถุที่หมุนตลอดเวลาเช่น พัดลมหรือของเล่นที่หมุนๆ หากเด็กมีอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบพาไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน  
 
นายแพทย์วชิระกล่าวต่อว่า  สำหรับในการตรวจคัดกรองค้นหาเด็กนั้น กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาแบบตรวจมาตรฐาน ในเด็กอายุ 1-4 ปี เป็นแบบคำถาม 10 ข้อ แจกไปยังสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง และจัดอบรมแพทย์ เจ้าหน้าที่พยาบาลทั่วประเทศ หากตรวจพบภาวะเสี่ยง คือตอบตรงกับคำตอบในชุดคัดกรองตั้งแต่ 5 ข้อขึ้นไป จะส่งเข้ารับการบำบัดรักษา ส่งเสริมพัฒนาการ ปรับแก้พฤติกรรม  และการบำบัดรักษาด้วยยา ซึ่งจะเพิ่มความสามารถทางภาษาและสติปัญญาได้ และให้ผลในการรักษาระยะยาวดีขึ้น  โดยต้องประเมินเด็กเป็นระยะๆ และวางแผนรักษาดูแลที่เหมาะสม ร่วมกับครู บุคลากรทางการแพทย์ และพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อดูแลอย่างเหมาะสมตลอดชีวิต    
 
เมษายน/6-7 ************************ 2 เมษายน 2556


   
   


View 22    02/04/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ