วันนี้ ( 27 มิถุนายน 2556 ) ที่กระทรวงสาธารณสุข  จ.นนทบุรี   นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมปรึกษาหารือระดับนโยบายจาก 8 กระทรวง  ประกอบด้วย นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรมการบินพลเรือน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และโรงพยาบาลตำรวจ  เพื่อร่วมกันจัดระบบประกันสุขภาพสำหรับคนต่างด้าวในประเทศไทย  รองรับมติคณะรัฐมนตรี   

นายแพทย์ประดิษฐ กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่15 มกราคม 2556 อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการให้การดูแลทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งขณะนี้มี 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มแรงงานต่างด้าว ที่มาทำงานทั้งถูกกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงาน  2.กลุ่มประชากรต่างด้าวที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทยที่มีพรมแดนติด 4 ประเทศ 3.กลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งคราว เช่น นักท่องเที่ยว เพื่อให้ประชาชนคนไทยและคนต่างด้าวทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพพื้นฐานดูแล โดยหลักการและแนวคิดในการจัดระบบหลักประกันสุขภาพให้คนต่างด้าว มี 4 ประการคือ หลักสิทธิมนุษยชน หลักความยั่งยืนทางการคลัง หลักการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ และหลักประสิทธิภาพ

นายแพทย์ประดิษฐ กล่าวต่อว่า  คนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยมีทั้งหมด 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มอื่นๆ ที่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าเมืองเข้ามาเรียนหรือเข้ามาทำงานระยะยาว  ได้มีการหารือกันถึงปัญหากรณีที่นักท่องเที่ยวที่ต้องมาใช้บริการในกรณีที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน  ซึ่งใช้เงินค่อนข้างมากและเป็นภาระของประเทศ  ซึ่งที่ประชุมได้หารือกันอย่างกว้างขวางเรื่องวิธีการเก็บเงิน  ข้อดีข้อเสีย และได้เสนอวิธีที่เก็บเงินรวมอยู่ในค่าเดินทางเข้ามา เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ารถ ค่ารถไฟ  จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  วิธีนี้จะครอบคลุมได้อย่างน้อยร้อยละ 80  ของผู้ที่เข้ามา ส่วนที่อาจหลุดรอดได้ เช่น นั่งรถเข้ามาเองหรือเดินเท้ามานั้นจะหามาตรการจัดการอื่นๆ ต่อไป    โดยจะตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยขึ้นมา ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง เพื่อศึกษาวิธีการเก็บเงินโดยละเอียด   ในเรื่องของค่าโดยสารและการนำส่งเข้าส่วนกลาง โดยเงินส่วนที่เก็บมานั้น อาจจะเรียกเป็นค่าธรรมเนียมการเข้าประเทศ  ( Landing Free ) จะไม่ใช้คำว่า ค่าภาษีสุขภาพ เพราะอาจทำให้มีผลต่อการท่องเที่ยวได้  

กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ  ซึ่งมีจำนวนหลายล้านคนในขณะนี้  กลุ่มนี้หากไม่ให้การดูแลด้านสุขภาพ  ก็จะเกิดปัญหาติดตามมาเช่น โรคระบาดต่างๆ   โดยแยกเป็นกลุ่มที่เข้ามาทำงาน เข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย  ข้อกังวลคือขอให้มีการตรวจสุขภาพจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ยกเว้นที่หน่วยราชการเองไม่สามารถให้บริการได้ เพราะคำนึงถึงคุณภาพของคนที่เข้ามาทำงาน และอีกอย่างหนึ่งคือขาดมาตรการส่งเสริมสุขภาพ เช่น วัคซีนป้องกันโรคซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับมา  รวมทั้งกลุ่มผู้ที่ติดตามเข้ามาด้วย  โดยที่ประชุมมีข้อสรุปว่า

ทั้ง 2 กลุ่มนี้ต้องมีการทบทวนกระบวนการของการออกใบอนุญาตทำงาน  วีซ่า ต้องมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นคือต้องมีใบผ่านการตรวจสุขภาพ และหลักฐานการมีหลักประกันสุขภาพในกรณีที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม โดยจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาขั้นตอน ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงท่องเที่ยวฯ กระทรวงแรงงาน  เพื่อดูว่าขั้นตอนนี้จะเก็บอย่างไร เช่น ขั้นตอนจะขอวีซ่าต้องมีใบตรวจคนเข้าเมือง ต้องมีหลักฐานการมีหลักประกันสุขภาพซึ่งจะต้องจัดทำขั้นตอนในรายละเอียด

ส่วนกลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาแบบผิดกฎหมาย ลักลอบเข้ามาทำงาน เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขต้องรับภาระคนกลุ่มนี้  ได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน กระตุ้นให้เข้ามาซื้อบัตรประกันสุขภาพ  เพราะถ้าหลงเหลือจะเป็นภาระ ทั้งการรักษาฟรีและแพร่โรค  เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สถานะไม่ถูกต้อง  เป็นภาระของกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องเข้าไปดูแล ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือจัดให้มีระบบประกันสุขภาพตามมติคณะรัฐมนตรี

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่ข้ามพรมแดนเข้ามาใช้บริการ เข้าเมืองมา โดยการเดินมาทางตามแนวชายแดน  การแก้ปัญหาน่าจะเป็นมาตรการของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ที่เจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อทำความตกลงในเรื่องการดูแลในระยะสั้น เช่น มีกองทุนสุขภาพเข้ามาดูแล  ส่วนระยะยาวว่าจะมีการพัฒนาหน่วยบริการสุขภาพ ที่จะพัฒนาโดยมีหลักประกันสุขภาพในประเทศนั้นๆ ซึ่งน่าจะเป็นหน้าที่ของ 2 หน่วยงานคือ กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขไทย กับประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น  สำหรับกรณีของกลุ่มอื่นๆ จะมีการกำหนดขั้นตอน เช่น วีซ่านักเรียนเข้ามาเรียนหนังสือในไทยเป็นเวลา 2-3 ปี  ต้องมีใบซื้อประกันสุขภาพเช่นเดียวกับคนเข้ามาทำงาน   การเรียกเก็บในนักท่องเที่ยวที่ได้รับการยกเว้นเรื่องวีซ่า เช่น รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งกลุ่มอียู  ที่ขอร้องประเทศไทยว่าน่าจะมีระบบการบังคับทำประกันภัยแบบครอบคลุม (Cover Well Insurance) เนื่องจากบางประเทศมีปัญหาในการดูแลค่าใช้จ่ายคนของประเทศนั้นๆ ที่เข้ามาเจ็บป่วยในประเทศไทย รวมทั้งการส่งกลับด้วย   

 

*************************** 27 มิถุนายน 2556



   
   


View 15    27/06/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ