ครม. เห็นชอบโครงการ "งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง" หนุนคนไทยงดดื่มช่วงเข้าพรรษา

              คณะรัฐมนตรี เห็นชอบโครงการ งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำดีถวายในหลวง ให้ทุกส่วนราชการหนุนกิจกรรมนี้  และให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด จัดพิธีลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน เพื่อส่งเสริมให้คนไทย งด ลด ละ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา เผยผลสำรวจล่าสุดในปี 2554 พบคนไทยดื่มสุรา 17 ล้านคน โดย 46,000 คน ฝ่าฝืนดื่มในที่ห้ามดื่มเช่นสถานที่ราชการ อีก 30,000 คนซื้อสุรามาจากที่ห้ามขาย เช่น ในวัด หอพัก    

          บ่ายวันนี้ (10 กรกฎาคม 2556) ที่ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดา กรุงเทพมหานคร นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการรณรงค์ให้วันเข้าพรรษาเป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2556 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมลงนาม ประกอบด้วย ผู้แทน 20 กระทรวง ตัวแทนเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมสันติบาตรเทศบาลแห่งประเทศไทย  สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย สมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย ผู้แทนจาก 5 ศาสนา และผู้แทนกรุงเทพมหานคร

          นายสรวงศ์กล่าวว่า เนื่องในโอกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 86 พรรษา และในโอกาสฉลองพระชนมายุ 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ในปี 2556นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำ“โครงการรณรงค์งดดื่มสุราแห่งชาติ 2556 ภายใต้แนวคิด  “ทำความดีถวายในหลวง” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบประกาศให้เทศกาลเข้าพรรษา 3 เดือน เป็นช่วงงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้ทุกส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร และสถานประกอบการร่วมสนับสนุนกิจกรรมนี้ รวมถึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด จัดพิธีลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษาโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อประชาสัมพันธ์โทษ พิษ ภัย และผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งเสริมให้คนไทยงด  ลด ละ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง และทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยขณะนี้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ของไทยมีความก้าวหน้า กำหนดห้ามขายเหล้าทุกชนิดให้วันพระใหญ่ คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา นอกจากนี้  จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อพ.ศ. 2551 ได้กำหนดให้วันเข้าพรรษา เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2556 

          นายสรวงศ์กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังอยู่ในเกณฑ์        น่าเป็นห่วง สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานผลสำรวจล่าสุดในปี 2554 พบคนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศดื่มสุรามากถึง 17 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากร และยังมีการกระทำผิดร่วมระหว่างผู้ขายกับผู้ดื่ม โดยพบว่านักดื่มประมาณ 30,000 คน ซื้อสุรามาจากพื้นที่ห้ามขายตามกฎหมาย เช่น ในวัด หอพัก สวนสาธารณะ ปั๊มน้ำมันร้านขายยา ขณะเดียวกันมีนักดื่มประมาณ 46,000 คน ดื่มสุราในพื้นที่ห้ามดื่ม เช่นสถานที่ราชการ สวนสาธารณะ วัด เป็นต้น ซึ่งจะต้องเพิ่มการกวดขันทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 เวลา 13.00 น.  นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานลงนามร่วมปฏิญาณงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษาอย่างเป็นทางการที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะส่งสมุดลงนามปฏิญาณตนทำความดีแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปให้ทุกจังหวัดเพื่อให้ประชาชนลงนามพร้อมกันทั่วประเทศ

          ทางด้านนายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า รายงานของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ล่าสุด พ.ศ. 2556 พบว่านักดื่มเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 5 เท่าตัว โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน อายุระหว่าง 15-24 ปี พบว่าดื่มสุราเกือบ 2.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 15 ของนักดื่มทั้งหมด โดยเฉลี่ยผู้ชายเริ่มดื่มเมื่ออายุ 19 ปี ผู้หญิงเฉลี่ย 24 ปี โดยคนรุ่นหลังเริ่มดื่มเร็วกว่าคนรุ่นเก่า ปัจจุบันพบว่ามีผู้ดื่มสุราเป็นประจำ 7.5 ล้านคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 20 หรือประมาณ 2 ล้านคน อยู่ในขั้นติดเหล้าต้องดื่มทุกวันหรือเกือบทุกวัน โดยปริมาณการดื่มเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 37 ลิตรต่อคนปีในปี 2540 เป็น 52 ลิตรในปี2554 สถานที่ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด ร้านขายของชำ เฉลี่ยค่าดื่มเดือนละ 500 บาท มี 1 ใน 3 ที่ดื่มฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย อาชีพที่ดื่มสุรามากที่สุดคือ อาชีพช่างฝีมือ รองลงมาคือ เกษตรกร ประมง ภาคเหนือมีอัตราการดื่มสูงที่สุดในประเทศเฉลี่ยร้อยละ 39 รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 37 ภาคกลาง ร้อยละ 28 กทม. ร้อยละ 23 และภาคใต้ ร้อยละ 19

******************************************** 10  กรกฎาคม 2556