รัฐบาลยกปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งภูมิภาคอาเซียน เพิ่มเครือข่ายวิชาการด้านการบำบัดรักษายาเสพติด ในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้ผู้ติดยาเลิกพึ่งยาได้อย่างถาวร พร้อมเร่งขยายฐานสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กลุ่มเด็กและเยาวชน เริ่มตั้งแต่อายุ 7 ปี-19 ปี ป้องกันไม่ให้เข้าสู่วงจรเหล้า บุหรี่ ซึ่งเป็นประตูสู่ยาเสพติด  หลังพบเยาวชนที่ติดยาร้อยละ 80-90 มีประวัติกินเหล้าสูบบุหรี่มาก่อน ข้อมูลการบำบัดรักษาล่าสุดในปี 2556 พบยาบ้ายังอยู่ในอันดับ 1 และที่น่าวิตกคือในรอบ 6 ปีพบผู้เสพยาไอซ์เพิ่มขึ้น 5 เท่าตัว และนักเสพอายุน้อยลง มีเด็กอายุ 7-17 ปี เข้ารับการบำบัดเพิ่มขึ้น 5-6 เท่าตัว

          วันนี้ (17 กรกฎาคม 2556) ที่อิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 14 พ.ศ. 2556 ในหัวข้อ “วิชาการยาเสพติดสู่อาเซียน:สร้างเครือข่าย สร้างคุณภาพ” จัดโดยสถาบันธัญญารักษ์  และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในภูมิภาค 6 แห่ง โดยมีแพทย์ พยาบาล นักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ ร่วมประชุมจำนวน 1,200 คน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และพัฒนาประสิทธิภาพการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้กลับคืนสู่สังคม พร้อมมอบรางวัลธัญญารักษ์อวอร์ด แก่ผู้มีผลงานดีเด่นด้านการบริหารจัดการและพัฒนานโยบาย และด้านการบำบัดรักษา รวม 13 รางวัล และกิตติกรรมประกาศสถานพยาบาลยาเสพติดที่ผ่านการรับรองคุณภาพ จำนวน 100 แห่ง และสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ระบบต้องโทษ 7 แห่ง

         นายแพทย์ประดิษฐกล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ยาเสพติดได้หวนกลับมาเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ และยกระดับเป็นวาระแห่งภูมิภาค เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยปีนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดประชุมผู้รับผิดชอบด้านการบำบัดรักษายาเสพติด หัวหน้าศูนย์บำบัดยาเสพติดของประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นครั้งแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี ความก้าวหน้าการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งถือเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง เรียกว่าโรคสมองติดยา ติดสารเคมีในยาเสพติด แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากสภาพปัญหาในภูมิภาคนี้คล้ายคลึงกัน อันดับหนึ่ง มาจากยาบ้า รองลงมาคือเฮโรอีน และที่กำลังเป็นปัญหาของไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคือยาไอซ์ ซึ่งเป็นอนุพันธุ์ของยาบ้า เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าตัวในรอบ 6 ปี ซึ่งความร่วมมือกันครั้งนี้ จะสร้างความเข้มแข็งระบบการบำบัดรักษา ทั้งในประเทศ ตามบริเวณแนวชายแดน ให้ผู้ติดยาเลิกยาได้อย่างถาวรหลังบำบัดไม่กลับไปเสพซ้ำอีก โดยจะมีการจัดทำร่างแนวทางและข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนางานวิชาการบำบัดรักษายาเสพติด ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนต่อไป        

                  นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า รัฐบาลได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุข เป็นเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหาผู้เสพ ผู้ติด และการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ในปีงบประมาณ 2555 พบว่า มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาทั่วประเทศ 5.6 แสนกว่าคน คาดว่ายังมีอีกหลายแสนคนที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาและอยู่ตามชุมชนต่างๆ ที่น่าห่วงคือในแต่ละปีผู้ที่เข้ารับการบำบัดรักษากว่าครึ่งเป็นผู้เสพติดรายใหม่ และกลุ่มผู้ที่เข้าไปกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นกลุ่มเยาวชนและกลุ่มวัยแรงงานมากขึ้น มีแนวโน้มอายุน้อยลงมาสู่กลุ่มเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี โดยในรอบ 6 ปี พบเด็ก 7- 11 ปีเข้ารับการบำบัดเพิ่มขึ้น 5 เท่าตัว จาก 18 รายในปี 2550 เป็น 90 รายในปี 2555 กลุ่มอายุ 12-17ปี เพิ่มขึ้น 6 เท่าตัว จาก 7,800 ราย เป็น 46,000 รายในช่วงเดียวกัน

              ในการแก้ไขปัญหา ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด เป็นวัคซีนอีกตัวหนึ่งแก่กลุ่มเด็กและเยาวชน ขยายฐานเริ่มตั้งแต่อายุ 7 – 19 ปี ซึ่งมีเกือบ 12 ล้านคน ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อให้รู้เท่าทันพิษภัยยาเสพติด และใช้กิจกรรมที่เข้าถึงกลุ่ม เช่น โซเชียลมีเดีย และจะให้ความรู้เรื่องบุหรี่และเหล้า ซึ่งเป็นประตูสำคัญที่นำไปสู่การใช้ยาเสพติด เนื่องจากพบว่าเยาวชนที่เข้ารับการบำบัดร้อยละ 80-90 มีประวัติสูบบุหรี่และดื่มเหล้ามาก่อน และมักเสพเป็นกลุ่ม โดยได้จัดทำโครงการทูบีนัมเบอร์วันในสถานศึกษาทุกระดับ และให้อสม.กว่า 1 ล้านคนเป็นกำลังสอดส่องในชุมชนหมู่บ้าน และค้นหาผู้เสพ/ผู้ติดยา นำเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาตามความสมัครใจ นายแพทย์ประดิษฐกล่าว 

                ทางด้านนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการบำบัดรักษา จะเน้นการคัดกรองแยกกลุ่มผู้เสพและผู้ติดให้ชัดเจน เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาที่เหมาะสมและฟรี  ในรอบ 6 เดือนของปี 2556 นี้มีผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดแล้ว 203,779 คน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 แสนคน และเพิ่มคุณภาพการบำบัดรักษาผู้ติดยาที่มีประสิทธิภาพ และระบบติดตาม ดูแลช่วยเหลือเมื่อกลับไปสู่ชุมชนป้องกันการเสพติดซ้ำ ตั้งเป้าหมายผู้ผ่านการบำบัดรักษาไม่หันกลับไปเสพยาได้ผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 และผู้เสพติดรายใหม่ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากการติดตามในรอบ 6 เดือนปีนี้ พบได้ผลดี ผู้ผ่านการบำบัดร้อยละ 95 ไม่กลับไปเสพยาซ้ำ

*********************************  17 กรกฎาคม 2556



   
   


View 14    17/07/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ