กระทรวงสาธารณสุขไทย และเมียนมาร์ ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข 7 สาขาได้แก่ การเฝ้าระวังโรค การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา การแพทย์พื้นบ้าน การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน  การส่งเสริมสุขภาพ และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าว ประชากรแนวชายแดน  โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพ.ศ. 2556-2558  เตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  โดยเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากรและการศึกษาวิจัยร่วมกัน

            วันนี้ ( 20 กันยายน 2556) นายแพทย์ประดิษฐ  สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์ พี เธท คิน ( Prof. Pe Thet Khin) รัฐมนตรีสาธารณสุขแห่งสหภาพเมียนมาร์ ร่วมประชุมความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทย –เมียนมาร์ ณ  โรงแรมมัณฑะเลย์ ฮิล รีสอร์ท  เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์  มีผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการจากกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 2 ประเทศ ร่วมประชุมประมาณ 60 คน ในการประชุมครั้งนี้ได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือหรือเอ็มโอยู ด้านสาธารณสุข (MOU : Memorandum Of Understanding on Health Cooperation) ซึ่งเป็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก
 
            บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีอายุ 5 ปี โดยมีความร่วมมือใน 7  สาขา ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรค  2.การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา  3.การแพทย์พื้นบ้าน  4.การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง  5.การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน  6. การส่งเสริมสุขภาพ  และ7.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามพรมแดน  รูปแบบของความร่วมมือประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน  และการศึกษาวิจัยร่วมกัน เช่น การแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Action Plan) ตามข้อตกลงดังกล่าวระหว่างปี 2556-2558  ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558  สำหรับงบประมาณที่ใช้ตามแผนดังกล่าวประกอบด้วย งบประมาณของแต่ละประเทศและเงินสนับสนุนจากองค์กรและหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น กองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย เป็นต้น โดยมีระบบและกลไกติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
 
            ด้านนายแพทย์ชาญวิทย์  ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า แผนปฏิบัติการความร่วมมือดังกล่าว ประกอบด้วย การเฝ้าระวังโรค การป้องกันควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีการเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรค และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการอาหารและยาขนาดย่อยเพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังยาปลอมและยาที่ไม่ได้มาตรฐาน 4แห่ง ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียวดี ทวาย และเกาะสอง  การซ้อมแผนรับมือโรคระบาดและภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข การพัฒนาระบบรักษาพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน โดยเน้นการพัฒนาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามเขตแดนด้วยการจัดให้มีหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสม เช่น บัตรประกันสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพิ่มความสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรคหายขาดจากร้อยละ 85 เป็นร้อยละ 90  รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขของทั้ง 2 ประเทศ และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว สำหรับพื้นที่เป้าหมายจะดำเนินการร่วมกันใน 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ เชียงรายกับท่าขี้เหล็ก  ตากกับเมียวดี กาญจนบุรีกับทวาย และระนองกับเกาะสอง  โดยมีกรมควบคุมโรครับผิดชอบหลัก และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมดำเนินการ 
 
            สาขาการแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร จะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานของบุคลากรสาธารณสุขและนักศึกษาด้านการแพทย์พื้นบ้าน  การพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพและการผลิตสมุนไพรให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี  การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร  โดยมีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นหน่วยงานหลักสาขาอาหาร ยาและเครื่องสำอาง จะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านระเบียบและกฎหมายอาหารและยา การพัฒนาบุคลากร โดยการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานของบุคลากร มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นหน่วยงานหลัก 
 
            สำหรับสาขาการส่งเสริมสุขภาพ   จะมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพนักเรียน วัยรุ่นและผู้สูงอายุ  รวมทั้งการส่งเสริมด้านโภชนาการ จะมีการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน  โดยมีกรมอนามัยเป็นหน่วยงานหลัก ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความร่วมมือกับสหภาพเมียนมาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดนมาตั้งแต่พ.ศ. 2543   เน้นหนักเรื่องโรคมาลาเรีย เอดส์ วัณโรค  พบว่ามีพัฒนาการดีขึ้นเป็นลำดับ  โดยมีประชากรเมียนมาร์อาศัยตามแนวชายแดนประมาณ 1 ล้าน 6 แสนคน  มีพื้นที่ติดต่อกับไทย 16 จังหวัด (Township) ใน 4 รัฐ ได้แก่ รัฐฉาน (Shan) คะยา(Kayah) คะยิน (Kayin) มอญ (Mon) และเขตทะนินทะยี (Tanintharyi)  มีโรงพยาบาลของเมียนมาร์อยู่ที่ชายแดน 2 แห่ง และคลินิก 1 แห่ง ขณะนี้คาดว่าจะมีชาวเมียนมาร์ประกอบอาชีพในประเทศไทยกว่า 1 ล้านคน
 
            จากการเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรเมียนมาร์ในประเทศไทยล่าสุดในปี 2555  พบอัตราการติดเชื้อร้อยละ 1  ลดลงจากร้อยละ 1.22 ในปี 2553  ส่วนโรคมาลาเรียชายแดนไทย-เมียนมาร์  ในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง โดยในกลุ่มคนไทยลดจาก 14,431 รายในปี 2553  เหลือ 9,600  ราย ในปี 2555   ในกลุ่มชาวต่างชาติลดจาก 19,283  ราย เหลือ 8,367 ราย  จังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยมาลาเรียสูงสุดได้แก่ ตาก กาญจนบุรี และแม่ฮ่องสอน  สำหรับวัณโรคนั้น ในปี 2554 พบผู้ป่วยวัณโรคในกลุ่มต่างด้าว 2,268 ราย และมีปัญหาเชื้อดื้อยาร้อยละ 1-4  ส่วนคนไทยพบปัญหาเชื้อดื้อยาร้อยละ 1.7  และจากรายงานผลการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาร์ พบอัตราการติดเชื้อวัณโรคประมาณร้อยละ 0.2
                                  
**********************************  20 กันยายน 2556


   
   


View 9    21/09/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ