กระทรวงสาธารณสุข เผยอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยสูงอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดจากรถจักรยานยนต์มากที่สุด ย้ำเตือนผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง ไม่ว่าจะขับใกล้หรือไกล และไม่ควรบิดเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากเกิดอุบัติเหตุหมวกจะป้องกันอันตรายที่ศีรษะได้ร้อยละ 72 ลดเสียชีวิตลงได้ร้อยละ 39 พร้อมย้ำหมวกกันน็อคที่ใช้งานมาแล้ว 3 ปี หรือเคยเกิดอุบัติเหตุมาแล้ว ไม่ควรใช้ซ้ำ และไม่ควรแขวนหมวกใกล้ถังน้ำมันรถ ชี้ทำให้โฟมที่บุภายในเสื่อมสภาพเร็ว ใช้ไม่ผล      

นายแพทย์ณรงค์  สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์การบาดเจ็บอุบัติเหตุจากการจราจรว่า องค์การอนามัยโลกรายงานว่าประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก เฉลี่ย 72 รายต่อวัน สูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล จะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติเกือบ 2 เท่าตัว ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 2556 ที่ผ่านมา อุบัติเหตุทางถนนร้อยละ 82 เกิดจากรถจักรยานยนต์ สาเหตุอันดับ 1 เกิดมาจากเมาสุราแล้วขับร้อยละ 39 รองลงมาคือขับเร็วเกินกำหนดร้อยละ 23 พบได้ทั้งถนนทางหลวงสายหลักและบนถนน อบต./หมู่บ้านพอๆกัน 

นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า อวัยวะที่ทำให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์เสียชีวิตอันดับ 1 คือศีรษะและสมองซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายทั้งหมด ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนทั้งผู้ขับและผู้ซ้อนท้าย ยึดหลักความปลอดภัย ประการ คือ 1.สวมหมวกกันน็อคตลอดเวลาที่ใช้รถ ไม่ว่าระยะทางจะใกล้หรือไกล ล็อคสายรัดคางให้กระชับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้หมวกกระเด็นออกจากศีรษะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และเลือกใช้หมวกกันน็อคที่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือ มอก. การสวมหมวกกันน็อคจะลดความรุนแรงการบาดเจ็บที่ศีรษะลงได้ร้อยละ 72 และลดการเสียชีวิตได้ร้อยละ 39

2.ไม่ดื่มสุราขณะขับรถหรือดื่มแล้วต้องไม่ขับรถทุกชนิด 3.ไม่ขับรถเร็ว เพราะความเร็วรถจะเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุง่ายและอันตรายรุนแรง ทำให้มีการเสียชีวิตในที่เกิดเหตุมาก ความเร็วที่เหมาะสมคือไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น หมวกกันน็อคที่ได้มาตรฐานจะป้องกันอันตรายที่ศีรษะได้ 4.หมวกกันน็อคที่ใช้มาแล้ว 3 ปี หรือหมวกฯที่เคยเกิดอุบัติเหตุและได้รับแรงกระแทกมาแล้วต้องเปลี่ยนใหม่ ไม่ควรนำมาใช้อีก เนื่องจากอุปกรณ์ภายในเกิดการชำรุด และ5.ไม่ควรแขวนหมวกกันน็อคไว้ใกล้ถังน้ำมันจักรยานยนต์ เนื่องจากไอระเหยของน้ำมันจะทำให้โฟมที่บุภายใน เสื่อมสภาพเร็วขึ้น  และอาจใช้ป้องกันอันตรายไม่ได้ผล

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ผู้ขับขี่ไม่สวมหมวกกันน็อคมี 10 ประการ ได้แก่ 1.เดินทางระยะใกล้ 2.ไม่ได้ขับออกถนนใหญ่ 3.เร่งรีบ 4.ร้อนอึดอัด สกปรก 5.กลัวผมเสียทรง 6.ไม่มีที่เก็บ กลัวหาย 7.ตำรวจไม่เคร่งครัดการจับกุม 8.ไม่มีหมวกกันน็อค 9.คิดว่าคงไม่เกิดอุบัติเหตุ และ10.เห็นว่าคนที่นั่งมาด้วยก็ไม่สวมจึงไม่สวมตาม จะต้องเร่งสร้างค่านิยมปลูกฝังพฤติกรรมให้หมวกนิรภัยให้ติดเป็นนิสัย

นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อไปว่า ในเทศกาลปีใหม่ 2557 นี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนร่วมกับหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เน้นการสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มการป้องกันและลดปัญหาบนถนนในตำบล/หมู่บ้านให้มากขึ้น เนื่องจากในช่วงเทศกาลในต่างจังหวัดจะมีทั้งคนในพื้นที่และคนต่างถิ่นรวมชาวต่างชาติด้วย ที่อาจไม่คุ้นเคยเส้นทาง หากประชาชนประสบเหตุหรือพบเห็นอุบัติเหตุ สามารถโทรแจ้งสายด่วนการแพทย์ฉุกเฉินหมายเลข 1669  ตลอด 24 ชั่วโมง 

***************   28 ธันวาคม 2556

 



   
   


View 17    28/12/2556   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ