เตือนวัยรุ่นนิยมความอยากขาวออร่า ระวังขาลาย หลังมีวัยรุ่นอายุ 16-18 ปีที่จ.เพชรบุรี ใช้ครีมแล้วเกิดอาการแพ้ ผิวหนังบาง เกิดจ้ำเลือดง่าย ผิวลายแตกงา เพราะอาจมีสารต้องห้ามในครีมโลชั่นทาผิว พบมากในครีมกระปุกผสมเอง แบ่งขาย และบนฉลากภาษาจีน ที่วางขายในตลาดนัด ร้านเสริมสวย และขายทางอินเทอร์เน็ต
 
                เภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าวัยรุ่น นักศึกษาไทย มีค่านิยมอยากมีผิวขาวใสหรือที่เรียกว่าผิวมีออร่า จนทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาว ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีการโฆษณาชวนเชื่อและจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต หรือบอกปากต่อปากในกลุ่มเพื่อนและคนใกล้ชิด ทำให้อยากลองใช้ แม้ว่าตัวเองจะมีผิวคล้ำมาตั้งแต่กำเนิดก็ตาม ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะได้รับผลข้างเคียงจากเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน จากการสำรวจท้องตลาดขณะนี้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม เช่น ครีมกระปุก หรือครีมที่ขายเป็นกิโลกรัมและแบ่งขายเป็นกระปุกหรือเป็นขวดที่ไม่มีฉลาก   
   
                เภสัชกรประพนธ์กล่าวต่อว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้รับรายงานที่จังหวัดเพชรบุรี มีกลุ่มวัยรุ่นอายุ16-18 ปี มีอาการแพ้ ผิวหนังมีผื่นคัน และแตกเป็นลายที่บริเวณขา ซึ่งเกิดจากการใช้เครื่องสำอาง โดยนักเรียนให้ข้อมูลว่าส่วนใหญ่ซื้อครีมจากร้านค้าแผงลอยในตลาดนัด รองลงมาคือร้านจำหน่ายเครื่องสำอางที่น่าเชื่อถือ ร้านเสริมสวย ร้านชำทั่วไป สั่งซื้อจากอินเทอร์เน็ต และซื้อจากเพื่อนและญาติ โดยกลุ่มวัยรุ่นใช้ครีมดังกล่าวทาผิววันละ 2-3 ครั้ง นาน 6 เดือนถึง 2 ปี จนเกิดอาการที่กล่าวมาข้างต้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีจึงได้ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม เก็บตัวอย่างครีมทาผิวต่างๆ ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด เพื่อตรวจวิเคราะห์หาสารอันตรายต้องห้าม เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง โดยผู้จำหน่ายเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมายจะมีโทษปรับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
                ทั้งนี้ ในการควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องสำอาง กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 7 ว่าด้วยการกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ปรับปรุงจากประกาศฉบับเดิมให้มีความทันสมัยตามข้อเสนอของคณะกรรมการควบคุมเครื่องสำอาง และเพื่อการรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามแล้วตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2556 และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2556 จะมีผลบังคับใช้หลังจากครบ 180 วันนับตั้งแต่วันที่ลงในราชกิจจานุเบกษา คือตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2557 เป็นต้นไป
 
                ทางด้านนางสาวจารุวรรณ ลิ้มสัจจะสกุล ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม กล่าวว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงครามและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างครีม โลชั่นทาผิว จำนวน 11 ตัวอย่างที่วางขายในจังหวัดเพชรบุรี ประกอบด้วยครีม 4 ประเภท ได้แก่ 1.ครีมผสมเองแบ่งขายใส่กระปุกที่ไม่มีฉลาก 2.ครีมที่ผสมเองแบ่งขายใส่กระปุกที่มีฉลากแต่ไม่ได้จดแจ้ง 3.ครีมที่มีฉลากภาษาจีน และ 4.ครีมที่มีฉลากภาษาจีนที่เป็นยาใช้ภายนอก ผลการตรวจวิเคราะห์พบสารสเตียรอยด์ชนิดโคลเบทาซอล โพรพิโอเนต (Clobetasol propionate) ในครีมทั้ง 11 ตัวอย่าง ในปริมาณตั้งแต่ 8.0-449.8 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สูงมาก นอกจากนี้ยังตรวจพบสารคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งจัดเป็นยาในทุกตัวอย่าง และบางตัวอย่างตรวจพบว่ามีการใส่วัตถุกันเสีย 2 ชนิดคือเมทิลพาราเบน (Methylparaben) และโพรพิลพราราเบน (Propylparaben) ด้วย               
                                 
                นางสาวจารุวรรณกล่าวต่อว่า สารโคลเบทาซอล โพรพิโอเนตเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สารดังกล่าวเป็นยาสเตียรอยด์ ใช้ทาภายนอกร่างกายที่มีความแรงสูงสุด ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน โรคผื่นผิวหนังที่ดื้อยาสเตียรอยด์ชนิดรุนแรงปานกลาง หรือใช้ในบริเวณผิวหนังที่หนา เช่นที่ขาหรือส้นเท้า สารชนิดนี้เมื่อใช้ไปนานๆ จะทำให้ผิวหนังบางลง เกิดจ้ำเลือดง่าย หรือมีรอยแตกที่ผิวหนัง เป็นต้น ซึ่งเป็นอาการเดียวกับที่พบในเด็กนักเรียนที่ใช้เครื่องสำอางที่ตรวจพบว่ามีสารชนิดนี้ปลอมปนอยู่
 
                สำหรับครีมที่มีฉลากภาษาจีนเป็นยาใช้ภายนอก ข้างกล่องจะมีตัวย่อ โอทีซี (OTC: Over The Counter drug) ปรากฏอยู่ ซึ่งหมายถึงกลุ่มยาที่ประชาชนสามารถเลือกซื้อใช้ได้เองจากร้านขายยาและร้านค้าทั่วไปในประเทศจีน แต่ยาประเภทครีมที่มีตัวยาดังกล่าวในประเทศไทยจัดเป็นยาอันตราย ต้องซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรแผนปัจจุบันประจำอยู่เท่านั้น
 
                นางสาวจารุวรรณกล่าวต่อไปว่า ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ผู้ประกอบการผลิตหรือนำเข้าเครื่องสำอาง จะต้องไปจดแจ้งกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนวางขายในท้องตลาด และหากจดแจ้งแล้วผลิตภัณฑ์นั้นจะได้เลขที่ใบรับแจ้ง 10 หลัก โดยจะต้องแสดงเลขที่ใบรับแจ้งดังกล่าวไว้ บนฉลากของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ด้วย ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบได้ก่อนตัดสินใจซื้อจากเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือจาก Oryor Smart Application หรือสอบถามได้ที่ อย. ที่โทรศัพท์ 02-590-7441หรือ 02-590-7273-4
 
                ทั้งนี้ ในปี 2557 นี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม ได้ร่วมกับกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในเครือข่ายทั้ง 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม สุพรรณบุรี ดำเนินการเฝ้าระวังการใช้เครื่องสำอางอันตรายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเก็บตัวอย่างตรวจวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพื่อกวาดล้างเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐานออกไปจากท้องตลาด และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้ต่างๆ จากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมสารอันตรายหรือสารต้องห้าม เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนสามารถเลือกซื้อและใช้ครีมและโลชั่นได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย หรือไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ร้องเรียนมาได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบการกระทำความผิด
 
  **********************************           5 มกราคม 2557
 


   
   


View 14    05/01/2557   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ