กระทรวงสาธารณสุข เผยวันที่ 22 มีนาคมทุกปี เป็นวันแห่งน้ำโลก ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยน้ำดื่ม รวมทั้งน้ำแข็ง สร้างความปลอดภัยประชาชน  ลดป่วยจากการดื่มน้ำไม่สะอาด ที่สำคัญคือโรคอุจจาระร่วง ทั่วโลกมีรายงานป่วยจากโรคนี้ปีละ 1,700 ล้านราย เป็นเหตุให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเสียชีวิตปีละกว่า 700,000 ราย ส่วนไทยในช่วงกว่า 2 เดือนปีนี้ พบผู้ป่วยทั่วประเทศกว่า 200,000 ราย  เสียชีวิต 2 ราย  แนะประชาชนเพิ่มความระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่ม ถ่ายอุจจาระในส้วม และล้างมือฟอกสบู่หลังใช้ห้องน้ำห้องส้วมทุกครั้ง
 
          นายแพทย์ณรงค์  สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 22 มีนาคม ทุกปี สมัชชาสหประชาชาติ ได้ประกาศให้เป็นวันแห่งน้ำโลก (World Water Day)  เริ่มตั้งแต่พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา  เพื่อให้ทั่วโลกระลึกถึงความสำคัญของน้ำ ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตในโลก และกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวในการอนุรักษ์น้ำและการพัฒนาแหล่งน้ำให้สะอาดปลอดภัย  โดยองค์การอนามัยโลกรายงานว่าในแต่ละปี ประชากรทั่วโลกป่วยจากโรคอุจจาระร่วง ซึ่งเกิดจากการมีเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม ปีละประมาณ 1,700 ล้านราย และโรคนี้ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก ปีละ 760,000 ราย ซึ่งมากเป็นอันดับ 2  รองจากโรคปอดบวมด้วย  ในส่วนของประเทศไทย ข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาในปี 2557 ตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงมีนาคม ทั่วประเทศมีรายงานผู้ป่วย 253,967 ราย  เสียชีวิต 2 ราย เมื่อเทียบกับปี 2556 ในช่วงเดียวกัน พบว่าจำนวนผู้ป่วยในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 ผู้ป่วยเกือบครึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
 
      นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่าในการป้องกันควบคุมโรคอุจจาระร่วง กระทรวงสาธารณสุขได้ให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด ควบคุมมาตรฐานโรงงานผลิตน้ำดื่ม รวมทั้งน้ำแข็งให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี มีเครื่องหมายอย. สุ่มตรวจเฝ้าระวังคลอรีนตกค้างปลายท่อน้ำประปาทุกชนิดให้เป็นไปตามมาตรฐานกรมอนามัยคือ 0.2-0.5มิลลิกรัม/ลิตร โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำสะอาด เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้น้ำ และให้เฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงอย่างต่อเนื่อง ให้เข้มข้นพิเศษในช่วงหน้าร้อนนี้ เนื่องจากการบริโภคน้ำและน้ำแข็งสูงกว่าฤดูกาลอื่นๆ
 
          ทางด้านนายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า ความสะอาดปลอดภัยของน้ำบริโภค เป็นปัจจัยพื้นฐานสาธารณสุขที่สำคัญ หากน้ำไม่ปลอดภัยจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะเฉียบพลัน หรือก่อให้เกิดการเจ็บป่วยในระยะยาวจากผลกระทบของสารเคมีที่เป็นอันตรายเช่นตะกั่ว ปรอท และสะสมร่างกายโดยไม่รู้ตัว   โดยปกติคนเราต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 2-2.5ลิตรต่อคน คาดว่าต่อวันมีการดื่มน้ำประมาณ  130 ล้านลิตร   
 
 กรมอนามัยได้สำรวจและวิเคราะห์คุณภาพน้ำบริโภคในสถานที่สาธารณะต่างๆ   เช่น โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ วัด/ศาสนสถาน ตลาดปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล เป็นต้น เพื่อควบคุมมาตรฐานความปลอดภัย  และดำเนินการในพื้นที่เข้าถึงได้ยาก ถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ห่างไกลเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยง และหาทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชนในพื้นที่ อบรมการจัดการน้ำสะอาด พฤติกรรมอนามัย เช่นโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร โรงเรียนพระปริยัติธรรม ศูนย์ศึกษาสงเคราะห์ในพื้นที่ชาวเขา โรงเรียนปอเนาะ เป็นต้น  ที่ผ่านมาพบได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน   
 
ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2552  พบว่า คนไทยมีน้ำดื่มและน้ำใช้มาจากแหล่งน้ำหลัก 4 ประเภท คือ น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำฝน น้ำประปา และน้ำจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำบ่อ-บาดาล น้ำจากแม่น้ำลำคลอง เป็นต้น โดยน้ำที่ครัวเรือนไทยใช้ดื่มมากที่สุดคือ น้ำฝน ร้อยละ 35 รองลงมาคือ น้ำดื่มบรรจุขวด ร้อยละ 32 และน้ำประปาร้อยละ 24 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กรมอนามัยทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง     
 
         ทางด้านนายแพทย์โสภณ  เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า  ในการป้องกันโรคอุจจาระร่วง  ขอให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่ กินร้อน คือรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หรืออุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน  ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน และล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ก่อนปรุงอาหาร และภายหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม รวมทั้งดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. หรือน้ำต้มสุก  ดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับประทานอาหาร รักษาความสะอาดของห้องน้ำห้องส้วม   และถ่ายอุจจาระลงส้วม  ส่วนในเด็กแรกเกิดขอให้เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงอายุ 6 เดือน  เนื่องจากนมแม่สะอาดปลอดภัย  เด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากแม่ ทำให้โอกาสป่วยจากโรคนี้น้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม

          สำหรับโรคอุจจาจาระร่วง อาการเจ็บป่วยที่พบ คือถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำบ่อยครั้งหรือถ่ายมีมูกเลือดปน ปวดท้อง อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ผลจากการถ่ายเหลวจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ หากสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากจะเกิดอาการกระหายน้ำ กระสับกระส่าย  ผิวหนังเหี่ยวเพราะขาดน้ำ และหากร่างกายขาดน้ำรุนแรง  อาจถึงขั้นช็อค และเสียชีวิตได้  ในการดูแลผู้ที่เป็นโรคอุจจาระร่วงในเบื้องต้น  ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรืออาหารเหลวมากๆ เช่น น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือที่เรียกว่าโอ อาร์ เอส โดยใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซองผสมกับน้ำต้มสุกเย็น 1 แก้ว หากไม่มีผงน้ำตาลเกลือแร่ ให้ใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม ในดื่มแทนผงน้ำตาลเกลือแร่ได้เช่นกัน ประการสำคัญหลังผสมแล้ว จะต้องดื่มให้หมดภายใน 1วัน และถ้าอาการไม่ดีขึ้น ยังไม่หยุดถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์


                           
************************************ 22 มีนาคม 2557



   
   


View 8    22/03/2557   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ