กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนช่วงฝนตก น้ำท่วม ระวังถูกงูพิษที่หนีน้ำมาอยู่ในบ้านเรือนกัด ให้โรงพยาบาลในสังกัดสำรองเซรุ่มแก้พิษงู 7 ชนิดพร้อมรักษาประชาชน แนะหากถูกงูกัด ให้อยู่นิ่งและรีบส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ห้ามกรีดแผล ดูดพิษ ขันชะเนาะเด็ดขาด

          นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้ ฝนตกหนัก มีน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังหลายพื้นที่  ได้กำชับให้สถานบริการในสังกัดทุกแห่ง เตรียมความพร้อมป้องกันสถานบริการไม่ให้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและอาสาสมัครสาธารณสุข ติดตามดูแลสุขภาพผู้ที่ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้ป่วยจิตเวชอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ จนถึงวันนี้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกปฏิบัติการแล้ว  23 ครั้ง มีผู้รับบริการ 3,026 ราย ส่วนใหญ่เป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปวดเมื่อย น้ำกัดเท้า เป็นต้น 

          นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีน้ำท่วม ประชาชนอาจได้รับอันตรายจากสัตว์มีพิษที่หนีน้ำมาอยู่ในบ้านเรือนได้  โดยเฉพาะงูพิษ หากถูกกัดอาจทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากในแต่ละปีจะมีผู้ถูกงูกัดประมาณ 7,000 - 8,000 ราย ซึ่งร้อยละ 50 ถูกกัดในช่วงหน้าฝนและน้ำท่วม ได้ให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนในสังกัด  สำรองเซรุ่มแก้พิษงู 7 ชนิด ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา  งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ พร้อมให้การดูแลรักษาประชาชนทันที รวมทั้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในการป้องกันสัตว์มีพิษและงูกัด และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการเสียชีวิต

          ทางด้านนายแพทย์อนุรักษ์  อมรเพชรสถาพร  ผู้อำนวยการสำนักการสาธารณสุขฉุกเฉิน กล่าวว่า หากประชาชนถูกงูกัด ขอให้ตั้งสติ อย่าตกใจเกินไป ให้สังเกตรอยแผลที่ถูกกัด หากเป็นงูพิษลักษณะรอยแผลเขี้ยวงูจะมีขนาดเล็กคล้ายถูกเข็มตำ โดยปกติจะมี 2 รอยอยู่คู่กัน แต่บางครั้งอาจจะเห็นเพียงรอยเดียวหากถูกกัดที่ปลายมือหรือปลายเท้า  ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นผู้ที่ถูกงูกัด ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ไม่กรีดแผล ดูดแผล ใช้ไฟหรือไฟฟ้าจี้แผล โปะน้ำแข็ง พอกสมุนไพร ดื่มเหล้า กินยาแก้ปวดที่มีแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เพิ่มการติดเชื้อ  ทำให้เนื้อตาย และไม่ได้ช่วยรักษาผู้ป่วย ขอให้โทรแจ้งหน่วยแพทย์กู้ชีพทางหมายเลข 1669  หรือให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที โดยพยายามเคลื่อนไหวร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะที่ถูกกัดให้น้อยที่สุด เพื่อชะลอพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายช้าลง รวมทั้งไม่ขันชะเนาะ เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดเป็นเนื้อตายได้ และหากเป็นไปได้ควรนำซากงูที่กัดไปให้แพทย์ดูด้วย

*******************************    2 กันยายน 2557



   
   


View 43    02/09/2557   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ