กระทรวงสาธารณสุข แนะหญิงตั้งครรภ์ทุกรายกินยาเม็ดเสริมไอโอดีนทุกวัน วันละ 1 เม็ด ทันทีตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ จนถึงหลังคลอดให้นมลูก 6 เดือน ส่งผลสมองเด็กมีไอคิวเต็มศักยภาพ มีพัฒนาการสมวัย เร่งสร้างความเข้าใจถูกต้อง หลังผลสำรวจพบหญิงตั้งครรภ์กินยาเม็ดเสริมไอโอดีนเพียงร้อยละ 84
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพเด็กไทย ให้มีพัฒนาการสมวัย โดยมีนโยบายให้หญิงตั้งครรภ์ฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด และกินยาเม็ดเสริมไอโอดีนทุกวันจนถึง 6 เดือนหลังคลอด เพื่อเพิ่มเติมจากสารอาหารที่รับประทาน ซึ่งอาจไม่เพียงพอ ผลการสุ่มสำรวจล่าสุดใน 61 จังหวัดในปี 2558 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีนร้อยละ 95 แต่กินยาทุกวันร้อยละ 84 สาเหตุที่ไม่กินยาเนื่องจากกลัวลูกโตผิดปกติ ทำให้เด็กได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอ ได้ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอสม. สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่หญิงตั้งครรภ์ในพื้นที่ทุกคน
จากการศึกษาของกรมอนามัย ปี 2557 พบว่า ค่าปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ในหลายจังหวัด น้อยกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลิตร ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ถือว่าอยู่ในระดับเสี่ยงที่จะเกิดการขาดสารไอโอดีน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยอมรับกันทั่วโลกว่ามีผลต่อการพัฒนาสติปัญญาหรือไอคิว และพัฒนาการที่ผิดปกติของเด็ก
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ไอโอดีนเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีผลในการสร้างสมอง ระบบประสาท และการเจริญเติบโตของร่างกายเด็กในครรภ์ โรคขาดสารไอโอดีนมีผลกระทบต่อประชากรทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกที่อยู่ในครรภ์จนอายุ 3 ปี หากขาดหรือได้ไอโอดีนไม่เพียงพอ จะทำให้เซลล์สมองเกิดขึ้นน้อย ระดับไอคิวหรือความเฉลียวฉลาดลดลง
“ยาเม็ดเสริมไอโอดีนที่ให้หญิงตั้งครรภ์กิน ไม่ทำให้ลูกในครรภ์ตัวโตผิดปกติ แต่ทำให้ลูกมีความสมบูรณ์ ทั้งสมองและการเจริญเติบโตเป็นไปตามปกติ การที่เด็กในครรภ์ตัวโตมีหลายสาเหตุ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน หรือแม่กินอาหารรสหวานมากขณะตั้งครรภ์ ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมลูก 6 เดือนจะมีความต้องการไอโอดีนมากกว่าคนทั่วไปคือวันละ 250 ไมโครกรัม ไอโอดีนที่ได้รับจากอาหารทั่วๆ ไปอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเสริมด้วยการกินยาเม็ด วันละ 1 เม็ดทุกวัน เพื่อให้ผลดีต่อลูก หากมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั้งนี้ ความต้องการไอโอดีนในแต่ละวัยแตกต่างกัน ผู้ใหญ่และวัยรุ่นต้องการเพียงวันละ 150 ไมโครกรัม เด็กอายุ 6-12 ปีต้องการวันละ 120 ไมโครกรัม และเด็กแรกเกิดถึง 5 ขวบ ต้องการวันละ 90 ไมโครกรัม โดยในเด็กและผู้ใหญ่ทั่วไป นอกจากอาหารแล้ว จะได้รับไอโอดีนจากเกลือ และเครื่องปรุงรสเค็มที่เสริมไอโอดีนตามกฎหมาย” ดร.นพ.พรเทพกล่าว
สำหรับประชาชนทั่วไปที่ขาดไอโอดีน จะทำให้อ่อนเพลีย เฉื่อยชา ประสิทธิภาพการทำงานลดลง จึงควรรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนเป็นประจำ ได้แก่ อาหารทะเล เช่นปลาทูนึ่ง ปลาสีกุน ปลากระบอก กุ้งทะเลตัวเล็ก รวมทั้งไข่ไก่และเป็ดที่เลี้ยงด้วยอาหารเสริมไอโอดีน และเลือกใช้เครื่องปรุงรสเค็มที่เสริมไอโอดีน เช่น เกลือเสริมไอโอดีน น้ำปลา หรือซีอิ้วเสริมไอโอดีน ปรุงประกอบอาหารทุกวัน
************************** 20 กันยายน 2558