กระทรวงสาธารณสุข เผยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ผ่านไป 4 วัน เกิดอุบัติเหตุ 2,338 ครั้ง เสียชีวิต 253ราย บาดเจ็บ 2,412 จ.เชียงใหม่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดโดยทุกๆ 1 นาที จะมีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3 คน 1 ใน 3 ดื่มสุรา กำชับโรงพยาบาลทุกแห่ง โดยเฉพาะในเส้นทางหลักเตรียมพร้อมดูแลผู้เดินทาง เตือนประชาชนก่อนขับรถระยะทางไกล งดดื่มสุรา ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ป้องกันการหลับใน รวมทั้งให้เคร่งครัดปฏิบัติตามกฎจราจร เมา-ง่วงไม่ขับ ขับไม่โทรเพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมทาง
วันนี้ (2 มกราคม 2559) ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ว่า วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการรณรงค์อุบัติเหตุทางถนนสะสม 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2558- 1 มกราคม 2559 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,338 ครั้ง เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 234 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 11 ผู้เสียชีวิตรวม 250 ราย เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 26 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ผู้บาดเจ็บรวม 2,412 คน เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 249 คน คิดเป็นร้อยละ 11 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือเชียงใหม่ 91 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา เชียงราย สงขลา ปทุมธานี จังหวัดละ 9 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุดคือ เชียงใหม่ 91 คน
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 33 ขับรถเร็วเกินกำหนดร้อยละ 15.9 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82 พฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัยร้อยละ 24 เกิดในเส้นทางตรงร้อยละ 60 เกิดบนถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 38 บนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 30 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01-04.00 น. ร้อยละ 31.38 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงานร้อยละ 55.9 ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ทุกๆ 1 นาที จะมีผู้บาดเจ็บ 3 คนเข้ารักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ โดย 1 ใน 3 ดื่มสุราด้วย นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในปีนี้สูงในช่วงวันกลางๆ ของเทศกาลที่ทุกคนอยู่ในพื้นที่ทั้งแหล่งท่องเที่ยว หรือภูมิลำเนาแล้ว ข้อมูลด่านชุมชนในภาพรวมทั้ง 3 วัน พบว่าในพื้นที่ตั้งด่านชุมชนมีการบาดเจ็บและเสียชีวิตลดลง แต่ในวันเฉลิมฉลองปีใหม่ 31 ธันวาคม พบการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น แต่การเสียชีวิตลดลง ดังนั้นมาตรการด่านชุมชนยังคงต้องเข้มข้นต่อไป
ส่วนผู้ที่ต้องเดินทางกลับ หากต้องขับรถในระยะทางไกลๆ ขอให้พักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มสุราก่อนวันเดินทาง หรือกินยาที่ทำให้ง่วง ยึดหลัก เมา-ง่วงไม่ขับ ขับไม่โทร เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองครอบครัวและเพื่อนร่วมทาง โดยเฉพาะการหลับใน อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 วินาที โดยผู้ขับขี่ไม่รู้สึกตัว และบังคับตัวเองไม่ได้ชั่วขณะ ถ้าวิ่งรถด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. รถจะวิ่งต่อไปอีก 100 เมตร หากเกิดการชนจะทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ เพราะคนขับรถไม่ได้หักหลบหรือเหยียบเบรก ส่วนรถโดยสารสาธารณะ กรณีที่ระยะทางมากกว่า 400 กม. ควรมีพนักงานขับรถ 2 คนสับเปลี่ยนกันขับ ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ ผู้โดยสารควรคาดเข็มขัดนิรภัยตลอด เพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรง กรณีเกิดอุบัติเหตุ อาจทำให้กระเด็นออกมานอกรถ
ได้สั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง เตรียมพร้อมดูแลผู้เดินทาง หากเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในเส้นทางหลัก ให้พร้อมทั้งรถกู้ชีพ บุคลากร ห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ยาเวชภัณฑ์ที่จำเป็น ประชาชนสามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ทางหมายเลข 1669 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง โดยรัฐบาลมีนโยบาย ดูแลประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใกล้ทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยการปฏิบัติการด้านการแพทย์ของทีมกู้ชีพ ในรอบ 4 วัน ประชาชนใช้บริการสายด่วนกู้ชีพ 1669 ไม่ถึงร้อยละ 50 ที่เหลือนำส่งโดยผู้พบเหตุ ญาติ ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ประชาชนเรียกใช้ทีมกู้ชีพ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บ ขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยสำคัญมาก หากทำไม่ถูกต้องอาจบาดเจ็บเพิ่มขึ้นหรือทำให้เกิดความพิการได้
ผลการดำเนินการตรวจจับผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2558 – 1 มกราคม 2559 ของทีมเฉพาะกิจกรมควบคุมโรค ได้ตรวจสถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า สถานีขนส่งและลานเบียร์ ทั้งสิ้น 990 ราย พบผู้กระทำผิดและดำเนินคดี รวม 55 ราย พบขายในปั้มน้ำมัน 13 ราย การขายนอกเวลาที่กฎหมายกำหนด 5 ราย และการโฆษณาสื่อสารการตลาด ลด แลก แจก แถม 35 ราย ทั้งนี้ในพื้นที่ กทม.พบการกระทำผิดโดยขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานีบริการน้ำมันมากที่สุด ขอย้ำเตือนผู้ประกอบการ ประชาชน ให้ร่วมรับผิดชอบสังคม ด้วยการปฏิบัติตามข้อบังคับที่กฎหมายกำหนด
************************* 2 มกราคม 2559