องค์การอนามัยโลก ร่วมกับวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประชุมนักวิชาการด้านเภสัชกรรมและองค์กรเอกชนใน 11 ประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วางยุทธศาสตร์ลดปัญหาการใช้ยาสิ้นเปลือง ด้านกระทรวงสาธารณสุขไทยเผยปี 2548 ไทยเสียเงินรักษาสุขภาพกว่า 4 แสนล้านบาท นำประเทศเพื่อนบ้าน เกือบครึ่งเป็นค่ายา เตรียมประกาศใช้บัญชียาแห่งชาติฉบับใหม่คาดใช้ต้นปี 2551 คัดเลือกรายการยาที่จำเป็นจริงๆ คาดจะลดความฟุ่มเฟือยลงได้ปีละกว่า 20,000 ล้านบาท
วันนี้ (12 ธันวาคม 2550) ที่โรงแรมมณเฑียร กรุงเทพฯ นายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการประชุมระดับภูมิภาคเรื่องบทบาทของการศึกษาในการส่งเสริมการใช้ยาอย่างเหมาะสม (Regional Meeting on the Role Education in Rational Use of Medicines) จัดโดยองค์การอนามัยโลก ร่วมกับวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ 12 14 ธันวาคม 2550 โดยมีนักวิชาการด้านเภสัชกรรม และองค์กรเอกชน จาก 11 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย อินโดนีเชีย มัลดีฟ พม่า เนปาล ศรีลังกา ติมอร์ตะวันออก เกาหลี และไทย ร่วมประชุมประมาณ 120 คน โดยมีนายแพทย์สำลี เปลี่ยนบางช้าง ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ศาสตราจารย์นายแพทย์สุรศักดิ์ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมประชุมด้วย
การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อระดมความคิดเห็นจัดทำแผนยุทธศาสตร์เผยแพร่ความรู้การบริโภคยาที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการใช้ยาอย่างเหมาะสมของประชาชนในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผ่านช่องทางระบบการศึกษา ใช้โรงเรียนเป็นฐาน ให้ประชาชนมีความรู้ในการใช้ยาที่ถูกต้องเหมาะสมตั้งแต่ในโรงเรียน
นายแพทย์มงคล กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการด้านสุขภาพและการแพทย์ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้เทคโนโลยีอย่างพอประมาณ และถูกต้อง เหมาะสมตามหลักวิชาการ เพื่อให้ผู้รับบริการมีความอุ่นใจ ผู้รับบริการมีความสุข เกิดระบบสุขภาพพอเพียงภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า ไทยมีรายจ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 25,315 ล้านบาทในพ.ศ. 2538 เป็น 434,974 ล้านบาทในปี 2548 หรือเพิ่มขึ้น 17 เท่าตัว คิดเป็นร้อยละ 6 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเชีย รายจ่ายสุขภาพส่วนใหญ่ร้อยละ 43 เป็นด้านยา มูลค่าถึง 186,331 ล้านบาท
นายแพทย์มงคล กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ค่าใช้จ่ายด้านยาสูงขึ้น เนื่องจากคนไทยยังมีการบริโภคยาที่ไม่เหมาะสม ที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือยาปฏิชีวนะที่ใช้มากเกินความจำเป็น ใช้ไม่ครบขนาดที่แพทย์สั่ง ซึ่งทำให้เชื้อโรคเกิดการดื้อยาตามมา หรือการซื้อยารับประทานเองจากร้านขายยาโดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ ค่านิยมการใช้ยาฉีดแทนยากิน เพราะเห็นว่าฤทธิ์แรงให้ผลทันใจกว่า ซึ่งเป็นการใช้ยาอย่างฟุ่มเฟือย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสร้างเสริมระบบการใช้ยาอย่างเหมาะสมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยริเริ่มโครงการร้านขายยาคุณภาพ ให้เภสัชกรจ่ายยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือสามารถวินิจฉัยโรคพื้นฐานที่ถูกต้อง เลือกสรรยาที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับโรคและผู้รับบริการ มีการให้คำแนะนำ และติดตามผลการใช้ยา รวมทั้งได้ปรับปรุงบัญชียาหลักแห่งชาติฉบับปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 เป็นบัญชียาแห่งชาติที่มีความสมบูรณ์ ครอบคลุมโรคและการรักษาที่จำเป็น อย่างคุ้มค่า สามารถใช้ร่วมกันได้ในทุกระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล โดยตั้งคณะกรรมการซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ 16 สาขาพิจารณาคัดเลือกยารักษาโรคที่เป็นปัญหาของประเทศไทยในขณะนี้ ลงในบัญชียาแห่งชาติ มี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นประธาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมนี้ และจะประกาศใช้ได้ในต้นปี 2551 แน่นอน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาที่เกินความจำเป็นของรัฐได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 23,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพ กระตุ้นให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การกินอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม การผ่อนคลายความเครียด การดูแลสภาพแวดล้อม และการลดละเลิกเหล้า บุหรี่ เพื่อป้องกัน 5 โรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง ที่ทำลายสุขภาพคนไทย และทำให้ประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมาก
********************************** 12 ธันวาคม 2550
View 7
12/12/2550
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ