กรมสุขภาพจิต แนะนำพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่ส่งผ่านความเครียดไปเด็กที่ต้องอยู่บ้านในช่วงโควิด19ระบาด เผยผลสำรวจพบเด็กและเยาวชนรับรู้และกังวลต่อสถานะการเงินของพ่อแม่ที่ต้องตกงานหรือรายได้ลดลง พร้อมแนะนำ 3 สิ่งควรทำและไม่ควรทำ รับมือเด็กติดเกมออนไลน์ในช่วงโควิด19

            วันนี้ (30 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กล่าวถึงผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ที่มีต่อเด็กและเยาวชน ว่า ผลการสำรวจขององค์การยูนิเซฟและสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยพบ เด็กมีความกังวลและรับรู้ถึงสถานะทางการเงินของพ่อแม่ในช่วงการระบาดของโควิด19 โดยเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความเครียดและความกังวลของพ่อแม่ในเรื่องการหารายได้ช่วงโควิด19 ระบาด โดยช่วงอายุ 20-24 ปี จะกังวลมากที่สุดถึงร้อยละ 87 รองลงมาช่วงอายุ 15-19 ปี ร้อยละ 82   ช่วงอายุ 11-14 ปีพบร้อยละ 69 และที่น่าสนใจคือเด็กอายุต่ำกว่าอายุ 10 ปี ยังพบว่ามีความกังวลถึงร้อยละ 76

          นอกจากนี้  ยังสำรวจพบปัญหาเรื่องคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวทำร้ายเด็กมากขึ้น สาเหตุสำคัญมาจากความเครียด ดังนั้น พ่อแม่ที่เกิดความเครียดควรจะต้องหาทางระบายและจัดการความเครียดให้ได้  อย่าส่งผ่านความเครียดด้วยการลงไม้ลงมือกับเด็ก เพราะยิ่งสร้างผลกระทบต่อเด็กเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพลังชุมชนต้องช่วยกันดูแลเด็กในช่วงที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องกลับไปทำงานเพื่อหารายได้อีกครั้ง และช่วยกันป้องกันภัยจากสังคมออนไลน์ที่เด็กอาจจะถูกล่อลวง ถูกคุกคามทางเพศได้ง่าย หากปล่อยให้เด็กใช้งานโดยขาดการติดตามดูแลจากผู้ใหญ่ ผู้ปกครองหรือพ่อแม่ ต้องตรวจสอบหากพบเนื้อหาที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กควรระงับการใช้งานและอธิบายให้เด็กได้เข้าใจถึงอันตรายที่จะตามมาเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ได้มากที่สุด

          พญ.มธุรดา กล่าวต่อว่า เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องในช่วงโควิด 19 คือ ปัญหาจากการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น โดยผลการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมต้นถึงมัธยมปลายในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงที่เด็กหยุดเรียนนานกว่าปกติที่ใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ตและเกมออนไลน์ จำนวน 8,464 คน พบว่า เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายพบใช้เวลาอยู่กับสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นร้อยละ 71 ส่วนเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นพบเพิ่มขึ้นร้อยละ 72  ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 80 ใช้ดูคลิปวิดีโอบน YouTube ร้อยละ 40-50 ใช้แอพพลิเคชั่นในการเล่นเกมออนไลน์

          จากข้อมูลดังกล่าว กรมสุขภาพจิตมีความห่วงใย และเพื่อป้องกันปัญหาเด็กติดเกมออนไลน์  ได้มีข้อแนะนำในการเล่นเกมให้เกิดความเหมาะสม กำหนดเป็น 3 สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดังนี้ สิ่งที่ควรทำ คือกำหนดเวลาเล่นเกมไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เลือกประเภทเกมที่ไม่รุนแรง และพ่อแม่ผู้ปกครองต้องมีส่วนรับรู้ในการเล่นเกมหรือร่วมเล่นเกมบ้างเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม  ส่วนสิ่งไม่ควรทำ คือไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี เช่น เล่นเกมมากเกินไป เล่นเกมที่รุนแรง เล่นผิดเวลา เช่น เล่นเกมขณะรับประทานอาหาร และเล่นผิดที่ เช่น เล่นในห้องนอนขณะเวลาพักผ่อน สิ่งเหล่านี้เป็นการปรับตัวสู่วิถีชีวิตใหม่เมื่อต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกันในครอบครัวจึงอยากให้เรียนรู้พฤติกรรมของเด็กๆ ไปพร้อมกัน

 *****************************************  30 พฤษภาคม 2563

 



   
   


View 1351    30/05/2563   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ