รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย จ.ปัตตานี ควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี ทั้งคัดกรองผู้เดินทางจากสมุทรสาครในช่วงต้นการระบาด ผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้กักตัวเอง 14 วัน ค้นหาเชิงรุกแรงงานต่างด้าว ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ มีความพร้อมจัดตั้ง รพ.สนาม 3 แห่ง ย้ำต้องเข้มการลักลอบข้ามแดนจากมาเลเซีย ยันวัคซีนโควิด 19 มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิต

           วันนี้ (16 มกราคม 2564) ที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ใน จ.ปัตตานี ว่า จังหวัดปัตตานีมีการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี ได้คัดกรองผู้เดินทางมาจาก จ.สมุทรสาคร จำนวน 80 ราย ผลตรวจไม่พบเชื้อทุกคน มีการตรวจเชิงรุกเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ 337 ราย ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน และให้ประชาชนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงรายงานตัวกับ รพ.สต.หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อคัดกรองอาการและให้กักกันที่บ้านครบ 14 วัน และตรวจหาเชื้อตามกำหนด โดยตั้งแต่วันที่ 6-15 มกราคม 2564 คัดกรองผู้เดินทางแล้ว 2,195 ราย ผลตรวจเป็นลบทั้งหมด อยู่ระหว่างรอผลการตรวจอีก 4 ราย นอกจากนี้ ยังมีสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) 1 แห่ง รองรับได้ 240 เตียง และสถานกักกันแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) 1 แห่ง รองรับได้ 10 เตียง รวมถึงเตรียมความพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 3 แห่ง คือ บริเวณเขตอุตสาหกรรม จ.ปัตตานี  รพ.โคกโพธิ์ และรพ.ยะรัง และกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ต่างๆ  

          นายอนุทินกล่าวต่อว่า ได้กำชับให้จังหวัดชายแดนใต้ที่ติดกับประเทศมาเลเซีย เข้มมาตรการเฝ้าระวังการลักลอบเดินทางข้ามแดน เนื่องจากเคยมีตัวอย่างที่มีผู้ลักลอบเข้ามาแล้วทำให้เกิดการติดเชื้อ ขอให้คนไทยเดินทางกลับเข้ามาอย่างถูกต้อง เข้ารับการกักกันตามระบบ 14 วัน เมื่อตรวจพบการติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ ช่วยป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายไปในชุมชน

“หากไม่มีการติดเชื้อจำนวนมาก โรงพยาบาลปกติสามารถรองรับได้เพียงพอ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยรวมขณะนี้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ยังถือว่าปลอดภัย แต่ยังต้องคงมาตรการเข้มในการป้องกันโรค การ์ดต้องไม่ตก ยังต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง รวมถึงป้องกันการลักลอบข้ามแดน” นายอนุทินกล่าว

          สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ยืนยันว่ายึดหลักวัคซีนมีคุณภาพและความปลอดภัย โดยมีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้ดำเนินการฉีดวัคซีนเป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ส่วนข้อกังวลเรื่องประสิทธิภาพวัคซีนที่ป้องกันโรคได้ 50-70% นั้น จริงๆ แล้วเป้าหมายในการใช้วัคซีนคือเพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิตลง ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ทุกตัวที่มีผลการทดลองเบื้องต้นในมนุษย์ระยะที่ 3 มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตแทบ 100% จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า กลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นต้น และจะมีการติดตามหลังการฉีดอย่างใกล้ชิด ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ที่สำคัญคือ ระหว่างที่ยังไม่มีวัคซีนยังต้องใช้ชีวิตประจำวันแบบ New Normal เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

***********************************  16 มกราคม 2564

 



   
   


View 2255    16/01/2564   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ