ไชยาเตือน “แฟนบอลยูโร”ระวังโรควูบ หลับใน เครียด เหตุนอนน้อย โชเฟอร์- คนคุมเครื่องจักร ต้องระวัง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะบรรดาแฟนลูกหนังฟุตบอลยูโร 2008 ทั้งนักเรียน คนทำงาน หากจะดูการแข่งขัน ควรนอนพักเตรียมตัวตั้งแต่หัวค่ำ ชี้อันตรายการนอนดึก ทำให้เครียด สมองเฉื่อยชา ส่งผลกระทบการเรียน การทำงาน โดยเฉพาะคนขับรถ ผู้ที่มีหน้าที่ต้องควบคุมเครื่องจักร อาจเจอ “โรควูบ หลับใน” และสั่งกรมสุขภาพจิต สำรวจความเครียดของประชาชนไทยในศึกฟุตบอลยูโร 2008 นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงนี้มีการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ซึ่งมีการถ่ายทอดข้ามทวีปในเวลากลางคืนทุกวันไปจนถึงช่วงปลายเดือนมิถุนายน โดยประชาชนไทยจะได้รับชมในช่วงดึก เนื่องจากเวลาในประเทศไทยเร็วกว่าประเทศสวิสเซอร์แลนด์ประมาณ 6 ชั่วโมง จึงอยากจะเตือนประชาชนไทย ขอให้ดูฟุตบอลเป็นเกมกีฬาเพื่อความสนุกสนาน ช่วยผ่อนคลายความเครียด อย่าเล่นพนัน การนอนดึกและการเล่นพนัน เป็นสาเหตุของการบั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพจิต นายไชยา กล่าวต่อว่า หากจะดูการแข่งขันศึกฟุตบอลยูโรในช่วงที่ต้องทำงาน หรือเรียนหนังสือในวันรุ่งขึ้น ขอให้ประชาชนและนักเรียน จัดเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ โดยนอนตั้งแต่หัวค่ำและตื่นมาดูในช่วงดึก เนื่องจากการ อดนอนหรือนอนไม่พอ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานหย่อนยาน ประสิทธิภาพในการเรียนหนังสือลดลง เนื่องจากสมองเฉื่อยชา อันมีสาเหตุมาจากร่างกายเหนื่อยล้าสะสม เกิดอาการหลับในหรือโรควูบตามมา โดยเฉพาะคนขับรถ คนที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรกลต่างๆ ต้องระวังมาก เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุง่ายขึ้น “ปัญหาของการดูบอลตอนดึกๆ และเล่นพนันบอลที่ผ่านมา มีตัวเลขความเสียหายไม่เฉพาะเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีความเสียหายทางสุขภาพด้วย โดยเฉพาะความเครียดที่มาจากสาเหตุหลักๆ คือ การง่วงนอน การพนันบอล และการกลัวทีมที่เป็นขวัญใจที่เชียร์พ่ายแพ้ โดยความเครียดที่เกิดจากการพนันมีอันตรายมาก เพราะเสียพนันจนหมดเนื้อหมดตัว และฆ่าตัวตาย หรือนำมาสู่ปัญหาฆ่ากันตายเพราะเบี้ยวหนี้ ซึ่งในช่วงศึกบอลยูโร 2004 มีผลสำรวจพบว่าประชาชนมีความเครียดจากการดูบอล ร้อยละ 23 จึงได้มอบหมายให้กรมสุขภาพจิตทำการสำรวจความเครียดของประชาชนกับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ด้วย ” นายไชยากล่าว ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้กำชับให้ผู้บังคับบัญชาคอยสอดส่องดูแลเจ้าหน้าที่ ไม่ให้มีการเล่นพนันบอลอย่างเด็ดขาด หากพบขอให้มีการตักเตือน เพราะถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หากไม่เชื่อฟัง ต้องมีการจัดการตามระเบียบวินัยของข้าราชการ นายไชยากล่าว ********************************* 10 มิถุนายน 2551