กระทรวงสาธารณสุข เปิดบริการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้ให้บริการร้านอาหาร เจ้าของกิจการ พนักงาน ลูกจ้าง ในกทม. และปริมณฑล 60,000 ราย ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเปิดร้านได้อย่างปลอดภัย สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ ส่วนวัคซีนไฟเซอร์เตรียมฉีดในเด็กอายุ 12-18 ปี กลุ่มเสี่ยงและใช้เป็นเข็มกระตุ้น

          วันนี้ (3 กันยายน 2564) ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เยี่ยมชมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่ผู้ประกอบการ พนักงานร้านอาหาร กลุ่มสมาคมภัตตาคารไทย โดยมีนพ.โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และคณะผู้บริหาร
ให้การต้อนรับ

          นายอนุทิน กล่าวว่า ภายหลังรัฐบาลอนุญาตให้เปิดบริการสถานประกอบการและกิจการร้านอาหารภายใต้มาตรการที่กำหนด โดยเฉพาะเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กระทรวงสาธารณสุขได้รับการประสานจากสมาคมภัตตาคารไทยในการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสร้างความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ให้บริการและประชาชนผู้มาใช้บริการ โดยให้บริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ผ่านการลงทะเบียนรูปแบบองค์กร เป้าหมาย 60,000 คน ในจำนวนนี้ประมาณ 30,000 คน ได้รับการฉีดวัคซีนไปก่อนหน้าแล้ว กลุ่มที่เหลือจะฉีดให้ครบภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับพนักงานหรือลูกจ้างของร้านค้า แผงลอย ที่ไม่ได้อยู่ในสมาคมภัตตาคารไทย สามารถประสานผ่านสมาคมฯ เพื่อขอเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ส่วนแรงงานข้ามชาติจะหาแนวทางร่วมกับฝ่ายความมั่นคง เพื่อให้ได้รับการฉีดทุกคน

         นายอนุทินกล่าวต่อว่า กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวคเป็นเข็มแรกตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า มีระยะห่างระหว่างเข็มประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งมีหลักฐานทางวิชาการว่ามีความปลอดภัย ทำให้มีภูมิคุ้มกันสูง สามารถรับมือกับเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาได้ อย่างไรก็ตาม แม้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วยังคงต้องป้องกันตนเองอย่างสูงสุด ทั้ง การสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง ที่สำคัญต้องดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมในร้านให้มีการถ่ายเทอากาศที่ดี ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมบ่อยๆ เพื่อลดการรับและแพร่เชื้อไปสู่ประชาชนที่มาใช้บริการ  

         สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ ได้วางแผนที่จะฉีดให้กับกลุ่มเด็ก เยาวชน อายุ 12-18 ปี ซึ่งประเทศไทยมีประมาณ 5 ล้านคน โดยจัดการฉีดในสถานศึกษา ภายใต้ระบบการบริการและเฝ้าระวังตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด รวมถึงฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง และใช้เป็นเข็มกระตุ้นด้วย

 ******************************** 3 กันยายน 2564

*************************************



   
   


View 1028    03/09/2564   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ