กระทรวงสาธารณสุขเผยแนวโน้มโควิดลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวัง 6 จังหวัด ระดมค้นหาคลัสเตอร์ ฉีดวัคซีน ย้ำเจ้าของกิจการใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย พาไปฉีดวัคซีนให้ครบ ชี้ฉีดวัคซีนสูตรไขว้และกระตุ้นเข็ม 3 พบมีอาการไม่พึงประสงค์ต้องเข้าโรงพยาบาลน้อยมาก ส่วนใหญ่อาการเล็กน้อย รักษาหาย ส่วนเปิดประเทศพบ ผู้เดินทางติดเชื้อสะสม 10 ราย ถือว่าระบบคัดกรองเข้ม สร้างความปลอดภัยได้

          วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 และอาการหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยรักษาหาย 8,029 ราย ติดเชื้อใหม่ 7,982 ราย เสียชีวิต 68 ราย แนวโน้มผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่เครื่องช่วยหายใจลดลง ภาพรวมทั้งประเทศมีแนวโน้มลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด 6 จังหวัดที่ยังมีแนวโน้มสูง ได้แก่ นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ ตาก ระยอง จันทบุรี และขอนแก่น ซึ่งวันนี้มีสัดส่วนการติดเชื้อ 22% ขณะนี้ได้ระดมสรรพกำลังค้นหาคลัสเตอร์และปัจจัยเสี่ยง รวมถึงเพิ่มเติมวัคซีนลงไปในพื้นที่ ขอให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีน จะลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต

          สำหรับคลัสเตอร์ที่ยังพบรายงานวันนี้ ได้แก่ เรือนจำ กทม. 44 ราย เชียงใหม่ 16 ราย, สถานบันเทิง กทม. 12 ราย, สถานศึกษา ฉะเชิงเทรา 2 ราย, โรงแรม กทม. 20 ราย, แคมป์ก่อสร้าง/ล้งผลไม้ จันทบุรี 4 ราย, บริษัท เชียงใหม่ 6 ราย กทม. 4 ราย, ค่ายทหาร ชลบุรี 3 ราย และตลาดเชียงใหม่ 61 ราย นอกจากนี้ ยังมีรายงานพบผู้ลักลอบเข้าประเทศจากกัมพูชาติดเชื้อ 7 ราย ถือว่าน่ากังวลในช่วงการเปิดประเทศ จึงขอให้ประชาชนร่วมกันสอดส่องและขอให้เจ้าของกิจการใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย พาคนงานต่างด้าวไปฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ซึ่งได้ชี้แจงทุกจุดฉีดวัคซีนแล้วให้จัดบริการฉีดวัคซีนกลุ่มแรงงานต่างด้าวด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญยังต้องย้ำมาตรการป้องกันตนเองสูงสุด ตรวจ ATK เมื่อมีความเสี่ยง กิจการใช้มาตรการ COVID Free Setting จะเปิดประเทศได้อย่างราบรื่น

          นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 วันที่ 3 พฤศจิกายน ฉีดได้ 817,382 โดส สะสม 77,831,474 โดส โดยเข็ม 1 ครอบคลุม 59.8% เข็ม 2 ครอบคลุม 44.7% และเข็ม 3 ครอบคลุม 3.5% จังหวัดที่มีความครอบคลุมน้อย ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครพนม หนองบัวลำภู และบึงกาฬ ฉีดเข็ม 1 ประมาณ 36-43% สำหรับกลุ่มนักเรียนอายุ 12-17 ปี ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 56.3% พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 17 จังหวัด ฉีดแล้ว 80.5% โดยจังหวัดที่ฉีดได้มากกว่า 70% คือ กทม. สมุทรปราการ ชลบุรี และภูเก็ต

          สำหรับผู้ฉีดวัคซีนโควิดแบบสลับชนิดและกระตุ้นเข็ม 3 ที่มีอาการไม่พึงประสงค์จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พบว่ามีจำนวนน้อยมาก โดยสูตรซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ฉีดมากกว่าล้านโดสพบเข้าโรงพยาบาล 955 ราย ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้าพบ 163 ราย และกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ พบ 48 ราย ส่วนใหญ่มีอาการไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และแน่นหน้าอก สามารถรักษาหายได้ ส่วนรายงานผู้เสียชีวิตนั้น จากการพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญพบว่า ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

          นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า การเปิดประเทศ วันที่ 3 พฤศจิกายน มีผู้เดินทางจากต่างประเทศ 2,614 ราย แบ่งเป็น ระบบ Test&Go หรือกลุ่มประเทศที่ไม่ต้องกักตัว เมื่อผลตรวจ RT-PCR เป็นลบเดินทางต่อได้ทันที 2,283 ราย ระบบแซนด์บ็อกซ์ 101 ราย และระบบกักตัวตามปกติ 230 ราย มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ 4 ราย จากระบบ Test&Go 1 ราย และระบบกักตัว 3 ราย รวม 3 วันที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อ 10 ราย ซึ่งแสดงว่าระบบของเราตรวจจับได้แม้ก่อนเดินทางมาจะตรวจ RT-PCR ไม่พบ แต่เป็นการพบในอัตราต่ำมาก ถือว่ามีความปลอดภัยในการรับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศ โดยประเทศที่เดินทางเข้ามามาก คือ สหรัฐอเมริกา 196 ราย ญี่ปุ่น 339 ราย เยอรมนี 142 ราย อังกฤษ 105 ราย และเกาหลีใต้ 64 ราย จังหวัดปลายทางที่นักท่องเที่ยวไปมากที่สุด คือ กทม. สมุทรปราการ ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี

******************************4 พฤศจิกายน 2564



   
   


View 1185    04/11/2564   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ