กระทรวงสาธารณสุข เผย ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของไทยยังเพิ่มขึ้น ขอประชาชนร่วมกันเข้มมาตรการลดการติดเชื้อ พร้อมเร่งฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ "สูงอายุ" ที่อัตราเสียชีวิตสูงกว่าวัยอื่น แนะผู้สูงอายุรีบฉีดวัคซีนตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้ลูกหลานกลับไปเยี่ยมช่วงสงกรานต์ได้อย่างสบายใจและปลอดภัย ด้าน สปสช.เพิ่มจิตอาสาสายด่วน 1330 ช่วยลดปัญหาสายไม่ว่าง/ไม่ได้รับสาย

       วันนี้ (4 มีนาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี  นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แถลงข่าวฉีดวัคซีนโควิด 19 ผู้สูงอายุก่อนสงกรานต์ ลูกหลานกลับบ้านสบายใจ และการปรับระบบ 1330 ลดผู้ติดเชื้อโควิด 19 ตกค้าง

          นพ.โสภณกล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 ของประเทศไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอาจเป็นไปตามฉากทัศน์ที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุดถึง 5 หมื่นรายในช่วงหลังสงกรานต์ แต่ทุกคนสามารถช่วยกันยกระดับมาตรการป้องกันเพื่อลดการติดเชื้อลงได้ โดยคาดว่าช่วงพฤษภาคม-มิถุนายนจะเป็นขาลงของการระบาด ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจ เมื่อมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก จะทำให้มีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นตามมาได้ โดยช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า และใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยวันนี้พบเสียชีวิต 54 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและไม่ได้รับวัคซีน

        นพ.โสภณกล่าวว่า ผู้สูงอายุมีการติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มวัยอื่น แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าหลายเท่า โดยเฉพาะสูงอายุ 70 ปีขึ้นไป อัตราติดเชื้อเสียชีวิตเกือบ 3% อายุ 60-69 ปี อัตราติดเชื้อเสียชีวิต 0.6% และอายุ 50-59 ปี อัตราติดเชื้อเสียชีวิต 0.2% และจากข้อมูลพบว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุ ช่วยลดการเสียชีวิตลงได้ถึง 41 เท่า เมื่อเทียบกับผู้สุงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีน ดังนั้น ในช่วง 1 เดือนเศษก่อนสงกรานต์ที่ลูกหลานจะกลับไปเยี่ยมที่ต่างจังหวัด ขอให้ผู้สูงอายุ 2.17 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมารับวัคซีนเข็มแรก หากฉีดเข็มแรกแล้วให้ฉีดเข็ม 2 ตามนัด และหากรับครบ 2 เข็มเกิน 3 เดือนให้รีบมารับเข็มกระตุ้น  เพื่อให้สงกรานต์ปีนี้ ลูกหลานกลับไปเยี่ยมบ้านได้อย่างสบายใจ โดยลูกหลานต้องฉีดวัคซีนและต้องป้องกันตนเองด้วยเช่นกัน เนื่องจากสงกรานต์ปีที่แล้ว หลายครอบครัวต้องสูญเสียผู้สูงอายุที่ติดเชื้อจากลูกหลานที่กลับไปเยี่ยม

         "สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ได้สำรวจประชาชน 86,798 คน พบว่า 37.8% ไม่ต้องการรับวัคซีนเข็ม 3 แม้ถึงเวลาที่กำหนดแล้ว เนื่องจากกังวลเรื่องผลข้างเคียง และกลัวเสียชีวิต 21% และคิดว่าฉีด 2 เข็มเพียงพอแล้ว 14% ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจ เพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้เข้ามาฉีดวัคซีนมากขึ้น และสนับสนุนให้ทุกหมู่บ้านมีทะเบียนรายชื่อผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด 19 เพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกหน่วยงานร่วมกันนำผู้สูงอายุมารับวัคซีนให้ครบถ้วนมากที่สุด รวมถึงการฉีดวัคซีนในเด็ก ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อในผู้สูงอายุได้ด้วย" นพ.โสภณกล่าว

        ด้าน ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวก สามารถติดต่อลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการรักษาผ่านสายด่วนต่างๆ ได้ โดยพื้นที่ กทม.ติดต่อสายด่วนประจำเขต 50 เขต หรือสายด่วน 1669 กด 2 ส่วนต่างจังหวัดมีสายด่วนประจำจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีเบอร์กลาง คือ สายด่วน สปสช. 1330 กด 14 อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาก ทำให้สายด่วน 1330 มีผู้โทรเข้ามาสูงถึง 70,300 สาย แต่ละสายเราใช้เวลาในการสอบถามประมาณ 7 นาที ทำให้ส่วนหนึ่งพบปัญหาสายไม่ว่างหรือไม่ได้รับสาย แม้จะขยายคู่สายจนเต็ม 3,000 คู่สาย และเพิ่มจำนวนผู้รับสายแล้วก็ตาม ดังนั้น จึงพิ่มช่องทางลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ สปสช. หรือไลน์ @nhso รวมถึงรับสมัครจิตอาสาทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนมาช่วย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มทางเลือกการเข้ารับการรักษาสำหรับผู้ติดเชื้อไม่มีอาการและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงในลักษณะผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา สามารถไปติดต่อหน่วยบริการตามสิทธิได้ทุกสิทธิ

        "การเพิ่มผู้รับสายและเพิ่มบริการแบบผู้ป่วยนอก ทำให้จำนวนสายที่โทรเข้าสายด่วน 1330 ลดลงจาก 7 หมื่นสาย เหลือ 5.5 หมื่นสาย และอัตราไม่ได้รับสาย จากเดิมมีประมาณครึ่งหนึ่ง ลดลงเหลือไม่ถึง 1 ใน 4 คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ จำนวนสายที่ไม่ได้รับหรือรอสายจะลดลงมากขึ้น" ทพ.อรรถพรกล่าว


**************************** 4 มีนาคม 2565



 

**************************************



   
   


View 735    04/03/2565   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ