คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการเร่งรัดเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ หลังพบผู้ป่วยโปลิโอเพิ่มขึ้นใน 22 ประเทศ ย้ำเร่งรัดให้วัคซีนในเด็กอย่างครอบคลุม พร้อมแต่งตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ หัด และหัดเยอรมัน และเห็นชอบยกเว้นค่าใช้จ่ายออกหนังสือรับรองวัคซีนโควิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2566 

       วันนี้ (21 ธันวาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาาณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2565 โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการโรคติดต่อจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 

       นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้ ประเทศไทยพบผู้ป่วย โรคโควิด 19 เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมรวมกลุ่มของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก ประกอบกับไทยเข้าสู่ฤดูหนาว เชื้อไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้นและแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขดูแลได้ ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 ถึง 97% ทั้งหมดเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายเร่งรัดรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม มีเป้าหมายให้ทุกจังหวัดฉีดวัคซีนรวมกัน 2 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2565 เพื่อลดการป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิต โดยจัดให้มีหน่วยฉีดวัคซีนทั้งในโรงพยาบาลและออกหน่วยฉีดวัคซีนเชิงรุกนอกโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านได้ ซึ่ง อย.ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อป้องกันก่อนการติดเชื้อและใช้เสริมการรักษาในรายที่ติดเชื้อมาไม่นาน 

       นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ในปี 2565 หลังจากผ่อนคลายมาตรการ  ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากกว่า 10 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมและได้รับความเชื่อมั่นด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้แนวคิด Health for Wealth ช่วยพัฒนาประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ นโยบาย Medical Hub มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจรและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีรายงานพบผู้ป่วยโรคโปลิโอซึ่งทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลันในหลายประเทศ หลังจากไม่พบผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นระยะเวลานานหลายปี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 21 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีรายงานพบผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์ธรรมชาติ จำนวน 30 ราย ในปากีสถาน อัฟกานิสถาน และโมซัมบิก และผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ จำนวน 577 ราย ใน 22 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซียที่พบผู้ป่วย 4 รายทำให้ประเทศไทยต้องเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ แม้ว่าเราจะไม่มีผู้ป่วยโรคโปลิโอมานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยรายสุดท้ายคือในปี 2540 

       "การประชุมในวันนี้ได้พิจารณาและเห็นชอบ 3 เรื่อง คือ 1.ข้อเสนอมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย เมื่อมีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ ให้ทุกจังหวัดเร่งรัดความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในเด็ก ประชาสัมพันธ์ฉีดกระตุ้น ประเมินความเสี่ยง ซักซ้อมแผน รณรงค์การให้วัคซีนเสริมในพื้นที่เสี่ยงและผลักดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาวัคซีน ดำเนินการจัดหาวัคซีน IPV  2.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ การกำจัดโรคหัด และหัดเยอรมัน ระดับชาติ เพื่อให้การดำเนินงานกวาดล้างโปลิโอของไทยมีความเข้มแข็ง รวมถึงการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมัน และต้องมีการขับเคลื่อนมาตรการอย่างต่อเนื่อง และ 3.เห็นชอบการยกเว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคโควิด 19 ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566" นพ.โอภาส กล่าว 

       นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานด้านวัคซีนโควิด 19 และผลการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว 145.3 ล้านโดส รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม จำนวน 57.5 ล้านคน คิดเป็น 82.6% ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ 53.9 ล้านคน คิดเป็น 77.6% และฉีดเข็มกระตุ้น 33.8 ล้านโดส ให้บริการฉีด LAAB ให้กับประชาชนกว่า 1.9 หมื่นคน ส่วนในเด็กอายุ 6 เดือน –  4 ปี รับวัคซีนแล้ว 49,000 คน ขณะที่องค์การอนามัยโลกและที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 มีคำแนะนำให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยใช้วัคซีนที่มีในปัจจุบัน ซึ่งยังมีประโยชน์ในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรค สามารถใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี สู้กับสายพันธุ์ที่ระบาดคือ โอมิครอน BA.5 และ BA.2.75 ได้ไม่จำเป็นต้องรอวัคซีน mRNA bivalent เพราะเวลานี้สถานการณ์ระบาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ได้ย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด จัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนหลักในทุกจังหวัดและทุกอำเภอ (COVID-19 Vaccination Center) ที่ประชาชนเข้าถึงได้สะดวกและทั่วถึง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบสถานที่และวันเวลาที่เปิดให้บริการ 

******************************************** 21 ธันวาคม 2565

**************************



   
   


View 2339    21/12/2565   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ