รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 200 เตียง ในรูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เป็นแห่งแรกของประเทศ มูลค่าลงทุน 2,647 ล้านบาท รองรับประชาชนและผู้ประกันตนกว่า 2 แสนคนในพื้นที่ EEC ให้เข้าถึงบริการที่มีมาตรฐาน รวดเร็ว และปลอดภัย เตรียมเปิดให้เอกชนเสนอร่วมลงทุน ม.ค.-ก.พ.นี้ คาดจะได้ผู้ร่วมลงทุนประมาณกลางปีนี้

             วันนี้ (16 มกราคม 2566) ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ รักษาการแทนเลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ด้านสาธารณสุข คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 นพ.สุริยะ คูหะรัตน์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 6 นพ.ประดิษฐ์ ปฐวีศรีสุธา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง นพ.ภูษิต ทรัพย์สมพล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง และ นพ.ชินวัฒน์ ชัยนวล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปลวกแดง ร่วมกันแถลงข่าว “โรงพยาบาลปลวกแดง 2 การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) แห่งแรกของประเทศ”

                ดร.สาธิตกล่าวว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง จะเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีประชากร โดยเฉพาะแรงงานเข้ามาทำงานจำนวนมาก ในส่วนของจังหวัดระยองมีนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม รวม 7 แห่ง เฉพาะอำเภอปลวกแดง มีสถานประกอบการที่เป็นสมาชิกประกันสังคม 2,532 แห่ง ดูแลผู้ประกันตน 213,201 คน ประชากรตามทะเบียนราษฎร์ 78,531 คน และผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ 48,182 คน ซึ่งต้องพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันกับการเติบโตของเมือง ขณะที่โรงพยาบาลปลวกแดง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ EEC เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง รองรับประชากรได้เพียง 5 - 8 หมื่นคนเท่านั้น หากจะพัฒนายกระดับให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 120 - 200 เตียง ตามปกติต้องใช้เวลานาน ซึ่งจะทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีศักยภาพ จึงผลักดันให้ดำเนินการในรูปแบบ PPP ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งแรกที่มีการลงทุนในลักษณะนี้

                 ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า โครงการนี้จะเป็นการร่วมทุนประเภท Build-Transfer-Operate (BTO) คือ เอกชนเป็นผู้ออกแบบ ลงทุนก่อสร้างทรัพย์สินสำคัญ และโอนกรรมสิทธิ์ให้รัฐทันทีหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยได้รับการสนับสนุนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ของเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเทียบเคียงกับสิทธิประโยชน์ของ BOI เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร เป็นต้น จะเปิดเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 จากนั้นเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก เจรจาสัญญา อนุมัติผลคัดเลือก และลงนามสัญญาร่วมลงทุนได้ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2566

                 โดยกระทรวงสาธารณสุข จะส่งมอบที่ดินพร้อมอาคารผ่าตัด-อุบัติเหตุ 5 ชั้น วงเงิน 232 ล้านบาทให้ภาคเอกชนก่อสร้างอาคารบริการเพิ่มเติม พร้อมทั้งประสานหน่วยงานประกันสุขภาพให้รับเป็นโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วนภาคเอกชน จะตกแต่ง ก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม สาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี และโอนคืนให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมจัดหาครุภัณฑ์ บุคลากร เพื่อให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงรับผิดชอบกรณีเกิดความเสียหายทางการแพทย์

                    “โครงการนี้ ถือเป็นต้นแบบการขยายโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขด้วยวิธี PPP มีมูลค่าการลงทุนรวม 2,647 ล้านบาท ทำให้ประชาชนมีสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการให้บริการในสาขาต่าง ๆ อยู่ในพื้นที่ สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีมาตรฐาน ได้ในราคาที่เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว รวมถึงรองรับบริการกรณีมีภัยพิบัติ หรือโรคระบาดเกิดขึ้นในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสร้างผลประโยชน์ทางการเงินแก่ภาครัฐ ตลอดระยะเวลาโครงการ 50 ปี จำนวน 3,684.51 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดิน 1,033.68 ล้านบาท และส่วนแบ่งรายได้จากภาคเอกชน 2,650.83 ล้านบาท” ดร.สาธิตกล่าว

 ******************************* 16 มกราคม 2566

 

**************************************

 



   
   


View 1323    16/01/2566   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ