สาธารณสุข ชี้โรคเอดส์ขยับประชิดตัววัยรุ่นไทย ผลสำรวจล่าสุดวัยรุ่นชายร้อยละ 47 และวัยรุ่นหญิงร้อยละ 86 เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี เพราะเมินการใช้ถุงยางอนามัย ปีนี้กองทุนโลกสนับสนุนงบกว่า 150 ล้านบาท ให้กรมควบคุมโรคควบคุมป้องกันปัญหา ดึงองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ร่วมงาน เพิ่มเครือข่ายรณรงค์แจกเอกสารฟรีให้ความรู้ป้องกันการติดโรคเอดส์ที่ปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ ให้ความรู้พ่อแม่พูดคุยเปิดใจเรื่องเพศกับวัยรุ่น วันนี้ (23 เมษายน 2552) เวลา 11.00 น. ที่โรงแรมสยามซิตี้ กทม. นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประธานคณะกรรมการกลไกความร่วมมือในประเทศ นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน และผู้แทนกองทุนโลกเพื่อการต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง นพ. ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กับ นายธารา ธีรธนากร ผู้แทน บ.เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และจิตสำนึกการป้องกันโรคเอดส์แก่เยาวชนไทย นายวิทยา กล่าวว่า ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากมีทัศนคติและค่านิยมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เข้าถึงสื่อลามกได้ง่าย โดยวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น เพราะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา และมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่ไม่ปลอดภัยมากขึ้น เช่น มีคู่นอนหลายคน มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์กับคนรักอยู่ในระดับต่ำเพราะคิดว่าปลอดภัย โดยวัยรุ่นชายใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 53 ส่วนวัยรุ่นหญิงใช้ร้อยละ 14 แสดงว่าขณะนี้มีวัยรุ่นชายประมาณร้อยละ 47 และวัยรุ่นหญิงร้อยละ 86 เสี่ยงติดเชื้อเพราะไม่ใช้ถุงยางอนามัย ส่วนวัยรุ่นที่มีคนรักหลายคนใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 51 ซึ่งปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในกลุ่มวัยรุ่นนี้ มีแนวโน้มเหมือนกันทั่วโลก ทั้งนี้ กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย (The Global Fund to Fight AIDS, Tuberculosis and Malaria) ได้สนับสนุนงบประมาณให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นเงิน 150 ล้านบาท ซึ่งได้รับบริจาคจากบ.เชฟรอนคอร์เปอร์เรชั่น สำนักงานใหญ่สหรัฐอเมริกา นับเป็นภาคเอกชนรายแรกที่บริจาคเงินจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ สนับสนุนโครงการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย (Corporate Champions Program) ของกองทุนโลก ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย แองโกล่า และอาฟริกาใต้ เฉลี่ยประเทศละ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2551- 2553 ซึ่งงบดังกล่าวจะทำให้ไทยแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ได้ดียิ่งขึ้น นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำนักระบาดวิทยาได้รายงานผู้ป่วยเอดส์สะสม ตั้งแต่ พ.ศ. 2527-31 มีนาคม 2552 ทั้งหมด 348,300 ราย เสียชีวิตแล้ว 93,418 ราย สาเหตุของการติดเชื้อร้อยละ 84 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญคาดว่าปี 2552 ไทยจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,753 ราย ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 30 เป็นกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่น นโยบายการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์จากนี้ไป จึงมุ่งไปที่กลุ่มเยาวชนมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอ็นจีโอเข้ามาเสริมบทบาทภาครัฐ เพื่อให้การทำงานป้องกันและควบคุมโรคเอดส์เข้มแข็ง ครอบคลุมทุกพื้นที่และกลุ่มเสี่ยง สกัดกั้นปัญหาเอดส์ไม่ให้ลุกลามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางด้านนายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมควบคุมโรคและบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และบริษัทเชฟรอน(ไทย) จำกัด หรือบริษัทค้าปลีกน้ำมันคาร์ลเท็กซ์ครั้งนี้ ได้จัดทำโครงการเลิฟ แคร์ (Love Care) หรือรวมพลังรักต้านภัยเอดส์ โดยสนับสนุนงบประมาณให้กับองค์การแพธ (PATH:The Program for Appropriate Technology in Health) ซึ่งมีเครือข่ายการทำงานสร้างความรู้ความเข้าใจการป้องกันโรคเอดส์แก่เยาวชนไทยที่เข้มแข็ง ดำเนินการ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การเผยแพร่เอกสาร ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ฟรี ในปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ ขั้นต้นเริ่มในเขตกทม.ก่อน และขยายไปที่ปั๊มในต่างจังหวัดต่อไป รวมทั้งฝึกอบรมความรู้แก่พนักงานและลูกจ้างของปั๊มด้วย 2.จัดอบรมพนักงานบริษัทเชฟรอนฯ ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อสร้างเครือข่ายพ่อแม่ในการพูดคุยเรื่องเพศกับเยาวชน ต่อยอดโครงการคุยเปิดใจ รักปลอดภัย และโครงการยืดอกพกถุง และเอดส์รู้เร็ว รักษาได้ และ 3.สนับสนุนการดำเนินงานป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มเยาวชน เช่น กลุ่มมหาสดำ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น โดยจะดำเนินการเป็นเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นปี 2553 ซึ่งจะช่วยสร้างเกราะป้องกันวัยรุ่นไทย รอดพ้นจากการติดเชื้อเอดส์ได้ ******************************* 23 เมษายน 2552


   
   


View 10    23/04/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ