รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกรมควบคุมโรคจับตาสถานการณ์การระบาดของกาฬโรคในจีน และประสานข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกอย่างใกล้ชิด ชี้ประเทศไทยไม่พบโรคนี้มาเป็นเวลา 57 ปีแล้ว แต่ยังไม่ละเลยการเฝ้าระวังโรคหวนกลับ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่เกิดการระบาดของโรคกาฬโรคปอดบวม ที่เมืองจื่อเคอทัน (Ziketan) มณฑลชิงไห่ (Qinghai) ทางตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรง มีรายงานเบื้องต้นพบผู้เสียชีวิต 2 คน กำลังป่วย 10 คน และทางการจีนได้สั่งปิดเมืองดังกล่าว ว่า โรคดังกล่าวจัดเป็นโรคอันตรายร้ายแรง และเมืองจื่อเคอทันของจีน ซึ่งเป็นจุดระบาดของโรคกาฬโรค อยู่ห่างไกลจากประเทศไทยมาก โดยทางการจีนได้กักบริเวณประชากรที่สงสัยที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ในส่วนของประเทศไทย ไม่พบผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นเวลา 57 ปีแล้ว แต่จะมีการเฝ้าระวังและประสานติดตามสถานการณ์กับองค์การอนามัยโลกอย่างใกล้ชิด โดยยังไม่มีข้อห้ามประชาชนไทยเดินทางไปจีน นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กาฬโรคเป็นโรคติดต่อเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่มีในหมัดหนูซึ่งอาศัยอยู่กับหนูที่เป็นโรค จะพบในกลุ่มประชาชนที่อาศัยรวมกันอย่างแออัด หมัดที่กัดจะปล่อยเชื้อเข้าทางบาดแผล อาการคือ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ รักแร้ หรือรอบคออักเสบ เรียกว่า กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) ส่วนกาฬโรคปอด (Pneumonic plague) เป็นอาการแทรกซ้อนของกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง มีความรุนแรงมาก เนื่องจากเชื้อมีการกระจายเข้าสู่กระแสโลหิตและเข้าสู่ปอดด้วย จะมีอาการเฉียบพลันคือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง อาการไอเกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมง เสมหะตอนแรกเหนียวใส แล้วกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสด ถ้าไม่รักษาจะเสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง และสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่นในวงกว้าง ผ่านทางละอองน้ำมูก น้ำลาย นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า โรคนี้มียาปฏิชีวนะรักษาหายขาด แม้ว่าไทยจะปลอดโรคนี้มาตั้งแต่พ.ศ. 2495 แต่ก็ยังจัดระบบติดตามเฝ้าระวังการหวนกลับมาระบาดของโรคดังกล่าว โดยเฝ้าระวังโรคปอดบวมผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง และยังไม่พบผู้ป่วยแต่อย่างใด ในการป้องกันโรคกาฬโรค ขอให้ประชาชนดูแลบ้านเรือนให้สะอาด โดยเฉพาะการกำจัดขยะมูลฝอย ขอให้กำจัดให้ถูกวิธีด้วยวิธีการขุดหลุมฝังหรือเผา เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู หลีกเลี่ยงการการจับต้องสัตว์ฟันแทะที่ป่วยหรือตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ***********************************4 สิงหาคม 2552


   
   


View 6       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ