กระทรวงสาธารณสุขหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนจากทั่วโลก เพื่อพิจารณานำผลทดลองวัคซีนในประเทศไทยที่ลดการติดเชื้อและลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ร้อยละ 31.2 ว่าสามารถนำไปขยายผลใช้ในการป้องกันการระบาดของโรคเอดส์ได้หรือไม่ พร้อมส่งผลหารือให้คณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์พิจารณาอีกครั้ง
วันนี้ (16 มีนาคม 2553) ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานร่วมเปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศทั่วโลก เพื่อพิจารณาการนำวัคซีนมาใช้ในการควบคุมการระบาดของโรคเอดส์
นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาโรคเอดส์ทั่วโลกยังไม่คลี่คลาย ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อแล้ว 33 ล้านคน ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน วันละ 10,000 คน ส่วนไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์สะสมประมาณ 1.1 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละประมาณ 15,000 คน เฉลี่ยวันละ 41 คน แนวโน้มจะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มคนอายุน้อยลง โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ซึ่งมีค่านิยมการมีกิ๊ก มองเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ ทำให้การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ทวีความรุนแรงขึ้น แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันควบคุมป้องกันปัญหาเอดส์มาอย่างต่อเนื่อง จนประสบผลสำเร็จที่ประชาคมโลกชื่นชมยกย่อง เช่นการรณรงค์ใช้ถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ การจัดระบบดูแลรักษาผู้ป่วย และให้ยาต้านไวรัส แต่พบว่ายังไม่เพียงพอที่จะควบคุมการระบาดของเชื้อเอชไอวีได้ จึงต้องมีการทดลองศึกษาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์มาใช้เป็นมาตรการเสริมในอนาคต เพื่อลดผู้ติดเชื้อรายใหม่
นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มโครงการทดลองฉีดวัคซีนเอดส์ระยะที่ 3 ให้แก่อาสาสมัครจำนวน 16,000 คน ตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2552 ผลปรากฏว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ลดอัตราความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีได้ร้อยละ 31.2 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งผลของการทดลองวัคซีนเอดส์เป็นการความภาคภูมิใจที่แสดงศักยภาพว่าประเทศไทย สามารถดำเนินการโครงการวิจัยวัคซีนเอดส์ได้สำเร็จตามมาตรฐานสากล และมีช่องทางที่จะพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ที่มีผลดียิ่งขึ้นต่อไป
นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อว่า การประชุมในครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะหารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญโรคเอดส์ทั่วโลกว่า จะนำวัคซีนที่ผ่านการทดลองในประเทศไทย ในระยะที่ 3 มาขยายใช้ในการป้องกันการระบาดของโรคเอดส์หรือไม่ เนื่องจากตามมาตรฐานได้กำหนดไว้ว่าหากจะนำวัคซีนมาใช้ในการป้องกัน วัคซีนที่ทดลองจะต้องมีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่เนื่องจากวัคซีนที่ทดลองในประเทศไทยได้ผลไม่ถึงตามเป้าหมายที่กำหนด ดังนั้นจึงต้องมีการหารือกันว่าควรจะนำใช้ในการป้องกันได้หรือไม่ และจะได้รับผลประโยชน์มากหรือน้อย ทั้งนี้ ผลการหารือจะส่งให้คณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ของไทย พิจารณาตัดสินใจอีกครั้งต่อไป
*************************** 16 มีนาคม 2553
View 13
16/03/2553
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ