เปิดโครงการตรวจเลือดเกษตรกรหาสารพิษตกค้างอันตราย เริ่ม 14 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป เป้าปีนี้ 840,000 คน  พร้อมเตรียมผลักดันโครงการเป็นวาระแห่งชาติ และบรรจุเข้าในชุดสิทธิประโยชน์ตรวจสุขภาพฟรี

วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2554)  ดร.พรรณสิริ  กุลนาถศิริ  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดตัวโครงการ  “เกษตรกรปลอดโรค ผู้บริโภคปลอดภัย สมุนไพรล้างพิษ กายจิตผ่องใส”  ที่โรงแรมสตาร์ อ.เมือง จ.ระยอง  ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมสุขภาพเกษตรกร ป้องกันการเจ็บป่วยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในการเกษตร และคุ้มครองสุขภาพผู้บริโภคทั้งประเทศ ให้ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ ดำเนินการเป็นปีแรก เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษาในปี 2554 เริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป
 
ในโครงการดังกล่าว จะให้บริการตรวจเลือดแก่เกษตรกรทุกจังหวัดจำนวน 840,000 คนฟรี เฉลี่ยอำเภอละ 1,000 คน ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้าน โดยการค้นหาเกษตรกรที่มีความเสี่ยง และตรวจเลือดโดยใช้ชุดตรวจสารพิษในเลือดภาคสนาม รู้ผลเร็วภายใน 10 นาที หากพบว่ามีสารพิษในเลือดในระดับที่ไม่ปลอดภัย จะนำสมุนไพรรางจืดซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน เป็นยารสเย็น ใช้แก้พิษเบื่อเมา จากเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง โดยผลิตในรูปของชาชงสำเร็จ มาใช้ล้างพิษในร่างกาย รวมทั้งมีบริการตรวจคัดกรอง ให้คำปรึกษาวิธีบรรเทาปัญหาสุขภาพจิตเช่นความเครียดให้เกษตรกรด้วย  นอกจากนี้จะมีการยกมาตรฐานตลาดค้าส่งผักผลไม้ขนาดใหญ่ทั่วประเทศ 28 แห่ง ให้มีระบบการตรวจเฝ้าระวังสารตกค้าง  อบรมผู้ค้าให้มีความรู้ความเข้าใจอันตรายสารกำจัดศัตรูพืช และคัดเลือกผักผลไม้ที่ปลอดภัยมาจำหน่ายผู้บริโภค คาดว่าจะสามารถประเมินผลได้ภายใน 3 เดือน          
 
  
  
ข้อมูลจากสำนักงานสถิตแห่งชาติล่าสุดในปี 2551 ทั่วประเทศมีเกษตรกร 14.1 ล้านคน  เกษตรกรร้อยละ 60 มีการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ซึ่งกว่าครึ่งใช้สารเคมี จากข้อมูลการฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลและพืชไร่ในภาคตะวันออกเช่นที่จ.จันทบุรี ระยอง ตราด สระแก้ว ในช่วงปี 2546-2549 พบว่าผู้ปลูกไม้ผล มีการใช้สารเคมีที่ผสมน้ำแล้วเฉลี่ยคนละ 21,791 ลิตรต่อปี มากกว่าชาวไร่ถึง 3.5 เท่าตัว โดยชาวไร่ใช้เพียงคนละ 5,997 ลิตรต่อปี สารเคมีที่ชาวสวนใช้มากอันดับ 1 ร้อยละ 54ได้แก่สารออการ์โนฟอสเฟต ซึ่งใช้กำจัดแมลง ส่วนชาวไร่ใช้สารกลุ่มพาราควอต กำจัดวัชพืชร้อยละ 69 และส่วนใหญ่ขาดความรู้ในการใช้สารเคมี โดยพบว่าขณะที่ฉีดพ่นไม่ได้ใช้เครื่องป้องกันเช่นแว่นตาป้องกันละอองสารเคมีร้อยละ77 ไม่ใส่ถุงมือร้อยละ 49 และไม่ใช้ที่ปิดจมูกร้อยละ 10 จึงมีความเสี่ยงสูงที่สารเคมีจะเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการตรวจเลือดให้เกษตรกรดังกล่าว
ดร.พรรณสิริกล่าวต่อว่า  สารเคมีกำจัดศัตรูพืชส่วนมากมีอันตรายต่อระบบสมองและประสาท บางชนิดมีผลกระทบต่อฮอร์โมนการสืบพันธุ์ ทำให้เป็นหมัน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ บางชนิดทำให้ตับอักเสบ เป็นมะเร็ง โดยอาการพิษมี  2  แบบ  คือแบบพิษเฉียบพลัน อาการเกิดขึ้นทันทีทันใด เช่นปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บหน้าอก เหงื่อออกมาก ท้องเสีย ตาลาย หายใจติดขัด เสียชีวิตได้ และแบบพิษเรื้อรัง อาการจะค่อย ๆ ปรากฏหลังได้รับพิษ ใช้เวลานานอาจเป็นเดือนหรือเป็นปี และยังพบว่าหากหญิงตั้งครรภ์ได้รับพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช อาจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทารกด้วย  โดยเฉพาะอายุครรภ์ 3 เดือนแรก เนื่องจากระยะนี้อวัยวะต่าง ๆของทารกอยู่ในช่วงก่อตัว              
 
ดร.พรรณสิริกล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดความยั่งยืนโครงการ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายจะผลักดันโครงการเกษตรปลอดโรคฯ ให้เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากเกษตรกรเป็นกำลังแรงงานที่มีมากที่สุดในประเทศ และมีความเสี่ยงอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการ 1 ชุด ประกอบด้วยหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข มีนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน  เพื่อผลักดันนโยบายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ขณะเดียวกันจะผลักดันให้การตรวจเลือดหาสารตกค้างในเลือดเกษตรกรบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติด้วย ซึ่งจะสามารถใช้เชื่อมโยงกับกองทุนสุขภาพตำบล ช่วยลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยของเกษตรกรมากขึ้น
  *********************     14  กุมภาพันธ์ 2554
 
 


   
   


View 13       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ